tag:blogger.com,1999:blog-92086268027135466952024-03-18T22:06:28.841-07:00SUKAPARP.INFOการดูแลสุขภาพ การรักษาสุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพsujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.comBlogger53125tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-86530521326148462282013-12-31T00:13:00.003-08:002013-12-31T00:13:24.049-08:00โปรแกรมที่จะช่วยให้คุณนั่งทำงานได้นานขึ้นโดยไม่ปวดตา <div class="post">
<div align="center">
<img alt="" border="0" src="http://passiveincome.in.th/wp-content/uploads/2013/12/3.jpg" /></div>
<br />สำหรับ
คนที่ทำงาน ที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
อาการป่วยที่เกิดปัญหากับดวงตา และ ระบบการมองเห็น เช่น ปวดตา ปวดกระบอกตา
ปวดกล้ามเนื้อหา เยื่อหุ้มตาเสื่อม ความเมื่อยล้าของสายตา สายตาสั้น
อาการเหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเรื่อง ความสว่างของหน้าจอ
แทบทั้งสิ้นเพราะโดยปกติแล้วนั้นในธรรมชาติแสงสว่างจะไม่คงที่ตลอดเวลาครับ
ดังนั้นควรมีการปรับแสงสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์
ให้เพิ่มหรือลดตามช่วงเวลาในการทำงานของเรา หากคุณทำงานยาวจนลืมเวลา
อาจทำให้แสงหน้าจอนั้นสว่างมากเกินความจำเป็น<br /><br />แต่การที่จะมานั่ง
ปรับแสงอยู่ตลอดเวลา มันลำบาก บางทีเราก็ลืมไป แต่ไม่ต้องห่วงครับ
เกรินมาซะขนาดนี้ผมมี โปรแกรมช่วยปรับแสงหน้าจอแบบอัตโนมัิตมาให้แน่นอนครับ
โปรแกรมชื่อ f.lux โปรแกรมจะปรับแสง และ
สีของหน้าจอตามเวลาจริงเพื่อให้เแสงของหน้าจอนั้นมีความเหมาะกับผู้ใช้นใน
เวลานั้นๆ ปรับแสงของหน้าจออัตโนมัติตามเวลาจริงๆของพื้นที่ ของเรา
แสงและสีของจอภาพนั้นเหมาะสมกับเวลานั้นๆ
เพื่อเป็นการถนอนสายตาและไม่ให้สายตาของเราปรับสภาพกับแสงจอมากเกินไป
โปรแกรมนี้จะคอยปรับแสงของหน้าจอลงเรื่อยๆ เมื่อตกเย็น (6 โมงเย็น)
โปรแกรมก็จะปรับแสงของหน้าจอให้อยู่ในระดับต่ำสุดที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้<br /><br />การ
ตั้งค่าโปรแกรม ก็แค่เรากำหนดแสงของหน้าจอในเวลากลางวัน และ กลางคืน
จากนั้น ใส่ตำแหน่งของคุณลงไป (คือระบุพื้นที่ของเรา ใส่ Bangkok)
โปรแกรมก็จะเริ่มทำงานโดยทันที โปรแกรม F.lux ทำงานได้ทั่งบน Windows Mac,
iPhone, และ Linux ดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
แค่มีโปรแกรมนี้ติดตั้งไว้ เราก็นั่งทำงานได้อย่างสบายตาแล้วครับ<br /><br /><div align="center">
<a href="http://www.thaiseoboard.com/go/?http://justgetflux.com/" rel="nofollow" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://passiveincome.in.th/wp-content/uploads/2013/12/download.png" /></a> <a href="http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,42085.0.html" target="_blank"><img border="0" src="http://www.thaiseoboard.com/go/ex.png" /></a></div>
<br /><div align="center">
<a href="http://www.thaiseoboard.com/go/?http://justgetflux.com/" rel="nofollow" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://passiveincome.in.th/wp-content/uploads/2013/12/2.jpg" /></a> </div>
<div align="center">
</div>
<div align="center">
<a href="http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,42085.0.html" target="_blank">http://www.thaiseoboard.com<img border="0" src="http://www.thaiseoboard.com/go/ex.png" /></a></div>
</div>
sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-71978774966403092052013-12-13T17:53:00.000-08:002013-12-13T17:53:00.044-08:00การท่องเที่ยวทางน้ำ<p><img style="display: block; float: none; margin-left: auto; margin-right: auto" src="http://www.thairivercruise.com/customer_images/thairivercruise_com_0195_1_2_img1_2610.jpg" width="410" height="299" /></p> <p> </p> <p>การท่องเที่ยวทางน้ำหรือการเดินทางทางน้ำเป็นเส้นทางหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันมาแต่ช้านาน สมัยก่อนทั้งเจ้าขุนมูลนายหรือแม้แต่กษัตริย์ยังชื่นชอบการเดินทางหรือท่องเที่ยวทางน้ำให้บรรยากาศที่แตกต่างจากทางบก โดยเฉพาะเดินทางช่วงกลางคืน พร้อมไฟสว่างจากแสงเทียน และดวงจันทร์ ดังนั้นการล่องเรือจึงเป็นที่นิยมมากมาจวบจนปัจจุบัน </p> <p>โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำที่เป็นเหมือนแม่น้ำสายหลักที่สำคัญตั้งแต่สมัยกรุงเก่ามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ไม่มีใครไม่รู้จักแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งชื่อเสียงและความสำคัญเพราะแม่น้ำเจจ้าพระยาเป็นแม่น้ำที่เกิดจากการรวมตัวกันของแม่น้ำสี่สายคือแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่าน ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการทำการค้าขาย ธุรกิจ กับชาวต่างประเทศ และคนไทยด้วยกันเองมาย่างช้านาน </p> <p>การล่องเรือเจ้าพระยานั้นทั้งสนุกและโรแมนติก ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจและแสนอบอุ่น เหมาะสำหรับคนรัก หรือครอบครัวที่ต้องการท่องเที่ยวกับประสบการณ์ที่ดีการล่องเรือเจ้าพระยาเป็นการท่องเที่ยวหรือพักผ่อนที่มีความนิยมมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ </p> <p>เพื่อมาพบปะและท่องเที่ยวแบบมีสไตล์ท่ามกลางแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าพระยา เรามีบริการทัวร์แม่น้ำเจ้าพระยา เที่ยวแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมทั้งรับประทานอาหารมือที่สุดแสนอร่อยพร้อมบรรยากาศที่สวยงามท่ามกลางแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลไปอยากไม่มีจุดจบ</p> <p>บริการเหมาเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา มีบริการพิเศษและทุกๆ ปีจะมีโปรโมชันพิเศษต่างๆ ออกมาเพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการล่องเรือกับตนรักหรือครอบครัวในวันที่พิเศษสุด เช่น ล่องเรือเจ้าพระยาในวันวาเลนไทพร้อมคนรักแบบดินเนอร์อาหารสุดประทับใจ ล่องเรือเจ้าพระยาในวันลอยกระทงชมแสงสีเสียงริมฝั่งเจ้าพระยา หรือพาแม่มานั่งเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อบอกรักแม่ในวันแม่ที่น่าประทับใจ เป็นต้น กิจกรรมในวันพิเศษนี้จะจัดขึ้นทุกปี ในแต่ละปีก็มีความพิเศษและแตกต่างกัน</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-17250425778785052772013-12-13T07:47:00.001-08:002013-12-13T07:47:08.416-08:00ชั่งใจสักนิด ก่อนคิดกินอาหารเสริม<p><a href="http://lh3.ggpht.com/-DrMxsO54srk/Uqsr4UmqkGI/AAAAAAAABKo/p87nXFMQFbA/s1600-h/clip_image001%25255B4%25255D.jpg"><img style="border-bottom: 0px; border-left: 0px; display: block; float: none; margin-left: auto; border-top: 0px; margin-right: auto; border-right: 0px" title="clip_image001" border="0" alt="clip_image001" src="http://lh3.ggpht.com/-xt8ef4oTuOg/Uqsr-NyrtTI/AAAAAAAABKw/Bpr6Umi6vOE/clip_image001_thumb%25255B1%25255D.jpg?imgmax=800" width="351" height="235" /></a></p> <p>ภญ.อัมพร จันทรอาภรณ์กุล</p> <p><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (</b><b>food supplement)</b> หลายคนมักเข้าใจว่าเป็นอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายคนปกติ รับประทานแล้วจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น จึงควรรับประทานเพิ่มเติมจากอาหาร 5 หมู่ ซึ่งในความหมายแท้จริงแล้ว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทาน นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติ(อาหารหลัก 5 หมู่) ซึ่งมักอยู่ในรูปลักษณะเป็นเม็ด แคปซูล ผง เกล็ด ของเหลว หรือลักษณะอื่นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับคนทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ (มิใช่สำหรับผู้ป่วย) เช่น โสมสกัดแคปซูล รำข้าวสาลีชนิดเม็ด น้ำมันปลาแคปซูล ใยอาหารอัดเม็ด ใยอาหารผงสำหรับชงหรือโรยอาหาร แปะก๊วยสกัดแคปซูล เป็นต้น</p> <p>ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับความนิยมอย่างมาก กอปรกับรูปแบบชีวิตสังคมสมัยใหม่ ไม่เอื้ออำนวยให้มีเวลาว่างมากพอสำหรับการสร้างสุขภาพที่ดีคือการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ถูกมองข้ามไป แต่คนส่วนใหญ่อยากมีสุขภาพแข็งแรง กลัวการเจ็บป่วย กลัวความตาย ดังนั้นจึงนึกถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสิ่งแรก ซึ่งผู้จำหน่ายก็มักมีวิธีการทำตลาดและส่งเสริมการขายที่แยบยลเจาะเข้าถึงใจผู้บริโภค ปัจจุบันโฆษณาได้ก้าวข้ามขีดความสามารถในการดูแลโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบไปอีกขั้นคือ สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็วยากต่อการควบคุม เช่น เผยแพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เวบไซต์ต่างๆ อีเมล์ วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นพับ ใบปลิว การแจกของชำร่วย ฯลฯ ซึ่งข้อมูลการโฆษณาเหล่านั้นมีทั้งจริงที่เชื่อถือได้และข้อมูลที่ยังไม่มีข้อยืนยันทางการแพทย์ ถ้าคุณสนใจค้นหาข้อมูล ลองเข้าไปดูที่โฮมเพจของคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา คือ <a href="http://quackwatch.org">http://quackwatch.org</a> ได้จัดทำขึ้นเพื่อดูแลประชาชนอเมริกันเกี่ยวกับการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงของธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่หากใครไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็ลองเข้าไปหาข้อมูลที่กองอาหารคณะกรรมการอาหารและยา <a href="http://www.fda.moph.go.th">http://www.fda.moph.go.th</a> หรือที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคของประเทศไทยเรา <a href="http://www.consumerthai.org">http://www.consumerthai.org</a> <br />ดังนั้นหากคุณที่กำลังใช้หรือสนใจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอยู่ ลองสืบหาข้อมูลให้ดีก่อน และแนวทางต่อไปนี้น่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจของคุณได้บ้างค่ะ <br /><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำเป็นหรือไม่ </b><b>?? </b><b> <br /></b>ร่างกายของมนุษย์เราไม่สามารถผลิตสารอาหารที่จำเป็นต่อระบบชีวิตได้ทุกอย่าง เราสามารถทดแทนการขาดสารอาหารจำเป็นบางตัวได้ด้วยการรับประทานอาหารเข้าไป ซึ่งได้มาจากพืชและสัตว์ หากคุณสามารถรับประทานอาหารในแต่ละวันได้ครบถ้วนทั้ง 5หมู่ เรียกว่า กินดีแล้ว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคงไม่มีความจำเป็น แต่หากคุณคิดว่าไม่สามารถรับประทานอาหารได้ครบก็ไม่มีความผิดอันใดที่จะซื้อหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทาน เช่น กรณีที่คุณเป็นคนไม่รับประทานผัก ผลไม้ การรับประทานวิตามินเสริมก็อาจมีความจำเป็น เช่นเดียวกับผู้ป่วยบางรายที่ต้องการสารอาหารบางชนิดมากเป็นพิเศษและได้รับคำแนะนำให้ใช้โดยแพทย์ผู้ดูแล</p> <p><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาแพง</b><b> ?? </b><b> <br /></b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดมีราคาแพง ซึ่งผู้ผลิตมักอ้างว่าสารอาหารที่นำมาขายเป็นสารอาหารที่จำเป็นและสำคัญ ทั้งต้องผลิตด้วยความยากลำบาก เหมือนกับกลั่นหรือสังเคราะห์เอามาแต่ของดีๆ ซึ่งอาจไม่จริงเสมอไป คุณควรพิจารณาราคาควบคู่ไปกับความคุ้มค่าที่จะได้รับว่าตรงกับวัตถุประสงค์ที่คุณจะใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆหรือไม่ <br /><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณประโยชน์ชัดเจน </b><b>??</b> <br />ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดมีข้อพิสูจน์และผลงานวิจัยจำนวนมากที่เชื่อถือได้เป็นที่ยอมรับถึงคุณประโยชน์ของสารอาหาร แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่สามารถบ่งชี้ไปอย่างชัดเจนว่า “รักษาหรือป้องกันโรค…ได้” หรือบางผลิตภัณฑ์ยกตัวอย่างงานวิจัย ผลการทดลอง ที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน บางผลิตภัณฑ์หยิบงานวิจัยเพียง 2-3 ชิ้นมาอ้างอิง เราจะเชื่อข้อมูลที่ผู้ผลิตเหล่านั้นได้อย่างไร มีเกณฑ์การพิจารณางานวิจัยง่ายๆ ดังนี้ <br /><b>o </b><b>วิธีการศึกษาวิจัย</b> การศึกษาวิจัยมีหลายแบบ อาจทำในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง คนปกติ หรือผู้ป่วย ซึ่งหากเป็นการศึกษาในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง ผลที่ได้จากการทดลองอาจ แตกต่างไปเมื่อนำมาใช้กับคน <br /><b>o </b><b>การนำผลการศึกษาวิจัยไปขยาย</b> ต้องตรงกับผลการวิจัย การทดลองบางชิ้นไม่สามารถนำไปใช้ในประชากรกลุ่มใหญ่ได้ เช่น การศึกษาหนึ่งพบว่าสาร ก สามารถเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อในผู้ป่วยได้ แต่ในการขายกลับบอกว่าสามารถเพิ่มปริมาณและพลังกล้ามเนื้อให้กับคนทั่วไปได้ ซึ่งไม่ตรงกับผลการวิจัย <br /><b>o </b><b>วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่มตัวอย่าง</b> ต้องตรงกับรูปแบบการใช้จริง เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์ในการศึกษาอาจใช้การฉีดหรือฝังเข้าไปในสัตว์ทดลอง แต่เมื่อนำมาผลิตขายกลับทำในรูปแบบรับประทานหรือทาผิว ซึ่งไม่อาจสรุปได้แน่นอนว่าจะได้ผลในลักษณะเดียวกัน <br />การศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบว่า “สารอาหารนั้นมีคุณประโยชน์ มีสรรพคุณในการป้องกันหรือรักษาโรคได้หรือไม่” ต้องอาศัยระยะเวลาในการพิสูจน์ และผลสรุปจากงานวิจัยนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ขึ้นกับว่าจะมีหลักฐานใหม่ๆ หรือไม่ ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งอาจพบว่ามีประสิทธิภาพจริงในวันนี้ แต่ในอนาคตก็อาจได้ข้อมูลในทางกลับกันจากผลการทดลองใหม่ๆ ก็เป็นได้ <br /><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีคุณประโยชน์ หรือมีอันตราย </b><b>??</b> <br />ต้องยอมรับในสัจธรรมว่าทุกสิ่งที่คนเราบริโภคล้วนมีทั้งคุณประโยชน์และโทษหรือผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน กระทั่งยาทุกชนิด และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็เช่นเดียวกัน หลายคนเข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำมาจาก “ธรรมชาติ” ไม่น่าจะมีพิษหรือผลข้างเคียง ทั้งนี้ในพระราชบัญญัติอาหารควบคุมในส่วนของฉลากเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีการโฆษณาหรืออวดอ้างสรรพคุณเกี่ยวกับการรักษาหรือป้องกันโรคและถ้ามีผลข้างเคียงต้องมีคำเตือนระบุไว้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ ต้องอ่านฉลากคำเตือนให้ดี ซึ่งบางชนิดก็ไม่ได้ระบุไว้ จะมีก็แต่สรรพคุณที่ดีโน้มน้าวให้เชื่อถือ ซึ่งหากคุณใช้แล้วเกิดอันตราย ก็ยากที่จะเอาผิดกับผู้ผลิตได้ เพราะกฎหมายหรือช่องทางการร้องเรียนยังมีจุดอ่อนอยู่มาก <br /><b>ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยา </b><b>??</b> <br />การกล่าวอ้างสรรพคุณ ถือเป็นหัวใจของการขายซึ่งบางชนิดก็กล่าวอ้างเกินจริง ตามนิยามของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารระบุชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรง นอกเหนือจากรับประทานอาหารหลักตามปกติ ซึ่งมักอยู่ในรูปลักษณะเป็นเม็ด แคปซูล ผง เกล็ดของเหลว หรือลักษณะอื่นๆ และมีจุดมุ่งหมายสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ (มิใช่ผู้ป่วย)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่จัดเป็นยา ดังนั้นจึงควรเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้นไม่สามารถบำบัดหรือรักษาโรคได้ เพราะหากรักษาโรคได้ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา ทั้งนี้ผู้ป่วยบางโรคหรือหญิงมีครรภ์หากได้รับผลิตภัณฑ์เสริมบางชนิดมากไปก็อาจมีผลข้างเคียงหรือเป็นอันตรายได้ <br /><b>อย่าปิดโอกาสที่จะได้รับการรักษาโรคอย่างเหมาะสม </b><b>??</b> <br />กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งคือ ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ หรือกลุ่มที่สิ้นหวังกับการรักษา เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง หรืออัมพาต โรคภัยชนิดเรื้อรังที่เป็นนั้นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตลอดจนต้องการการติดตามดูแลอาการอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้ชำนาญ ในกรณีที่คุณมีโรคประจำตัวหรือเจ็บป่วยอยู่ควรนำผลิตภัณฑ์ไปปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาหรือเภสัชกร ว่าจะมีปฏิกิริยากับโรคหรือยาที่รับประทานอยู่ประจำหรือไม่ หากไม่มีก็สามารถรับประทานได้แต่ไม่ควรหยุดรับประทานยาที่รักษาโรคของคุณควรรับประทานควบคู่กัน และหากจะหยุดรับประทานก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยทุกครั้งเพื่อติดตามผลการรักษาอย่าง<b> </b>ต่อเนื่อง เพราะหากหยุดยารับเพียงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง<b></b></p> <p><b>อย่างไรก็ตามยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนไม่น้อยที่เป็นประโยชน์นะคะ เพียงต้องการให้คุณใช้วิจารญาณให้ดีก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ ทั้งคุณประโยชน์ที่จะได้รับและราคาที่สมเหตุผล</b> <br /><b>ที่มาข้อมูล</b><b> :</b>นิตยสาร Health Today</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-21870262608479901952013-11-05T10:15:00.001-08:002013-11-05T10:15:19.239-08:00อยากมีกล้าม เล่นเวทอยู่แต่เพราะเขารูปร่างผอม กล้ามเลยไม่ชัดซักที ต้องทานอะไรเพิ่มมั้ยคะ??<p>คุณแฟนสูง 180 ซม.น้ำหนัก 65 ซม. รูปร่างกลางๆ ค่อนข้างไปทางผอมแต่โชคดีที่ไหล่กว้างนิดนึง <br />แต่เขาพยายามออกกำลังกาย เล่นเวท  คนเดียวบ้าง  ไปที่สนามกีฬาบ้าง (มีเพื่อนเล่นเวทด้วยกันกลางแจ้ง) <br />           แต่เขาตัวผอม แถมไม่ค่อยมีเวลาทานข้าว ทานได้แต่ช่วงเช้ากับเย็นค่ะ ทานเยอะเฉพาะช่วงเย็น <br />เพื่อนๆ ที่เล่นด้วยกัน เขามาจากรูปร่างท้วมก่อน  มีไขมันและตัวใหญ่   พอเล่นเวทจนพอมีกล้ามก็ดูฟูใหญ่ชัดเจน <br />บางคนหุ่นดีมากแบบนักกีฬาเพาะกายเลย   แต่แฟนเราเขาไม่ค่อยมีเนื้อหนังขึ้นกับเขาเลยค่ะ ทำไงดี <br />     ขอความเห็นด้วยนะคะ เพราะห้องนี้รักสุขภาพกันดีมากๆ เผื่อมีไอเดียดีๆจะได้ไปบอกแฟนค่ะ ไม่อยากเห็นเขากลุ้มใจทั้งวัน <br />1. ต้องทานอะไรดี เพิ่มกล้ามค่ะ <br />2. รูปร่างผอมมีสิทธิกล้ามโตมั้ยคะ <br />3. ออกกำลังท่าไหน แนะนำได้นะคะ</p> <p> </p> <p>ใครต้องการมีกล้าม ต้องไม่มีข้ออ้างครับ <br />การที่เราจะมีกล้ามได้ ต้องมาจากสามอย่างหลักๆครับ <br />1. เล่นให้หนักพอและเล่นถูกต้อง (ส่วนท่าไหนลองศึกษาในเว็บต่างๆดู รายละเอียดเยอะ) <br />2.ทานอาหารให้ถึง (โดยเฉพาะโปรตีน แต่อย่าลม คาโบไฮเดรตต้องถึงด้วย) <br />3.การพักผ่อนให้เพียงพอ จำเป็นต้่อการสร้างกล้าม <br />คนรูปร่างผอมได้เปรียบตรงที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องไขมันมากนัก ไม่ต้องคอยรีดไขมัน กล้ามก็ชัดระดับนึงแล้วครับ (แต่ต้องกินครบถ้วนนะครับ</p> <p>กินให้เยอะขึ้น บ่อยขึ้น โดยเน้นเพิ่มโปรตีน <br />เวลาเล่นเวทก็เล่นแบบเน้นใช้น้ำหนักเยอะ จำนวนครั้งในเซ็ทไม่ต้องเยอะ <br />นอนพักผ่อนให้มากขึ้น</p> กินเนื้อสัตว์ให้เยอะขึ้นครับ กินให้เยอะกว่าเดิม สุดท้ายน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แล้วออกกำลังควบคู่ไปด้วย กล้ามขึ้นแน่นอนครับ <p>คนที่บ้านก็ผอมเหมือนกันค่ะ ส่วนสูงและน้ำหนักใกล้เคียงกัน คือสูง 183 หนัก 68 กิโล เค้าเป็นคนไหล่แคบก็เริ่มออกกำลังโดยไปสมัครเข้าฟิตเนต มีคนฝึกแนะเครื่องเล่นออกกำลังแบบต่างๆ โดยต้องใช้เครื่องรวม 6 อย่างเล่นอย่างละ 15 ครั้งแล้วพัก 1 นาทีแล้วทำอีกรวม 3 ครั้งเห็นเค้าบอกว่าเครื่องเล่นแต่ละอย่างจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อคนละส่วน และต้องไปสม่ำเสมอ เค้าจะไปครั้งละ 2 ชั่วโมง เล่นไปพักไป เค้าไปวันเว้นวันค่ะ ไปมารวม 6 เดือนก็พอเห็นผลนะคะเริ่มมีกล้ามที่แขนและช่วงไหล่ก็กว้างขึ้น เรื่องน้ำหนักออกแรงเยอะกลับมาก็จะหิวมากทานเยอะค่ะ ตอนนี้หนัก 75 กิโลแล้วค่ะ <br />ถ้าต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อต้องขยันไปออกกำลังสม่ำเสมอค่ะ แต่ผลที่ได้ตามมาคือเค้าดูแข็งแรงขึ้นเวลาเดินทางไปเที่ยวไหนยกกระเป๋าเดิน ทางใบใหญ่ได้สบายมากเลยค่ะ</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-78282721391154066552013-10-08T04:14:00.001-07:002013-10-08T04:14:41.954-07:00ปลา - อาหารคู่ชีวิต<p>ปลา  เป็นอาหารคู่ชีวิตของคนไทยจนเราพูดกันติดปากว่า  “กินข้าว   กินปลา” ปลาเป็นอาหารที่หาได้ง่ายตามแหล่งน้ำต่างๆ  ทั้งที่เป็นธรรมชาติและแหล่งน้ำที่จัดสร้างขึ้น  คนไทยรู้จักจับปลาเป็นอาหารและขายเป็นสินค้าโดยใช้เครื่องมือง่ายๆ ตลอดจนใช้เครื่องมือที่ทันสมัย  ทำให้ประเทศไทยเรามีปลาบริโภคมากมายหลายชนิดและจำหน่ายเป็นสินค้าส่งออกที่ นำรายได้เข้าสู่ประเทศ </p> <p><a href="http://lh3.ggpht.com/-3DoY-8xZQQc/UlPo_oeNdeI/AAAAAAAABC0/IG70yV2RQC8/s1600-h/14557504%25255B4%25255D.jpg"><img style="border-bottom: 0px; border-left: 0px; display: block; float: none; margin-left: auto; border-top: 0px; margin-right: auto; border-right: 0px" title="14557504" border="0" alt="14557504" src="http://lh4.ggpht.com/-H-jmzIRBJBM/UlPpHslmcxI/AAAAAAAABC8/2lntLSqjXsM/14557504_thumb%25255B2%25255D.jpg?imgmax=800" width="204" height="204" /></a> </p> <p><strong>คุณค่าทางด้านโภชนาการของปลา</strong><strong> </strong></p> <p>          ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง  เราจัดปลาไว้ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่งในประเภทเนื้อสัตว์  ไข่  นมและถั่วเมล็ดแห้ง  โปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมสิ่งที่ สึกหรอ   ไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ  โดยเฉพาะสมอง  จะป้องกันการจับแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด  วิตามิน และแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะควบคุมการทำงานของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ ตามปกติ </p> <p><strong>คุณค่าทางด้านโปรตีน</strong>  ปลาชนิดต่าง ๆ  ให้โปรตีนในปริมาณที่สูงพอสมควร เนื้อปลา  100 กรัม  จะประกอบขึ้นด้วยโปรตีนเป็นจำนวนกรัม  ดังนี้  ปลาดุก 23.0  ปลาตะเพียน  22.0  ปลากระบอก  20.7  ปลาช่อน  20.5  ปลาทู  20.0  ปลาแป้น  19.6  ปลาเก๋า  1808  ปลาทรายแดง  18.4  ปลาตาเดียว  18.1  ปลาไส้ตัน 18.0  ปลากราย  17.5  ปลาหมอไทย  17.2  ปลาสวาย  15.4  ปลาหมึกกล้วย  15.2  และปลาเนื้ออ่อน  14.4 </p> <p>          เมื่อทำการศึกษาลงไปในรายละเอียดในด้านคุณภาพของโปรตีนในเนื้อ ปลาโดยทำการวิเคราะห์หาปริมาณกรดอะมิโน  พบว่า  โปรตีนในเนื้อปลาประกอบด้วย  กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายสูง  โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนีน  ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตในเด็กและจากการประเมินคุณภาพของโปรตีนโดยใช้ค่า คะแนนของกรดอะมิโน  (Amino  acid  score)  พบว่า  ปลาต่างๆ มีคะแนนดังนี้  ปลาทู  92  ( ทัดเทียมกับน้ำนมวัวซึ่งมีค่าเท่ากับ  91 )  ปลาตาเดียว  88  ปลาทรายแดง  81  ปลาช่อน  76  และปลาหมึกกล้วย  74</p> <p>          เนื้อปลานั้น  นอกจากจะมีคุณภาพและปริมาณของโปรตีนสูงแล้ว  ตามลักษณะโดยธรรมชาติของเนื้อปลา  ยังพบว่า  มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อย่างอื่น  ดังนั้น  เนื้อปลาจึงมีลักษณะอ่อนนิ่ม  เคี้ยวง่าย  นำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่จึงเหมะสำหรับเป็นอาหารทารก  ผู้สูงอายุและผู้ป่วย</p> <p><strong>คุณค่าทางด้านไขมัน</strong>   ไขมันที่ประกอบในเนื้อปลาทำให้รสชาติและสีของเนื้อปลาแตกต่างกันออกไป เนื้อปลา  100  กรัม  ประกอบด้วยไขมันเป็นจำนวนกรัมดังนี้  ปลาสวาย  21.5  ปลาทู  6.7  ปลากระบอก  3.9  ปลาช่อน 3.8  ปลาตะเพียน  2.6  ปลาดุก  2.4 ปลาเนื้ออ่อน  2.3  ปลากราย  1.6  ปลาทรายแดง  1.0 ปลาแป้น  1.0  ปลาหมึกกล้วย  0.7 ปลาเก๋า  0.5  ปลาไส้ตัน  0.3  และปลาตาเดียว  0.1</p> <p>           เมื่อทำการศึกษาถึงคุณภาพของไขมันที่อยู่ในเนื้อปลา   โดยทำการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย  โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิค  (Linoleic  acid) (C 18 : 2 , n 6 ) ซึ่งมีหน้าที่ต่างๆ ต่อร่างกาย  ดังนี้ <br />1)  เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์โดยการเปลี่ยนเป็นกรดไขมันที่จำเป็นอีกชนิด หนึ่ง  คือ กรดอะแรคคิโคนิค  (Arachidonic acid) (C 20 : 4 , n 6 ) <br />2)  ควบคุมระดับของโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด  จึงมีส่วนลดอัตราการตายจากโรคหัวใจชนิดหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน <br />3)  เป็นต้นกำเนิดฮอร์โมนโปรสตาไซคลิน  ซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวางการจับตัวของเกร็ดเลือด  ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดต่าง ๆและ <br />4) กรดไลโนเลอิคที่เปลี่ยนเป็นฮอร์โมนโปรสตาแกลนดิน  จะทำให้ไตเพิ่มการขับถ่ายโซเดียมและน้ำออกจากร่างกาย  จึงีส่วนควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติผลของการวิเคราะห์พบว่า  ปลาชนิดต่างๆ มีองค์ประกอบของไลโนเลอิคเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันดังนี้  ปลาตะเพียน  19.36 ปลากราย 13.47  ปลาดุก  11.82  ปลาหมอไทย  9.03 ปลาช่อน  6.00 ปลาสวาย  4.0  ปลาเนื้ออ่อน 4.09  ปลาแป้น 2.65  ปลาทรายแดง  2.05  ปลาไส้ตัน  2.03  ปลาเก๋า  1.77  ปลาทู 1.67  ปลาตาเดียว  1.49 และปลาหมึกกล้วย  1.67</p> <p>           นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว กองโภชนาการยังได้ทำการศึกษากรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มีความสำคัญต่อร่าง กายได้แก่ Eicosapentaenoic acid หรือ อีพีเอ (EPA)  Docosahexaenoic  acic  หรือ ดี เอ็ช เอ (DHA)  ด้วย</p> <p>           อี พี เอ เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่มีคุณสมบัติลดปัญหาการเป็นโรคหัวใจ ขาดเลือด ได้เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารไอโคซานอยด์ที่มีคุณสมบัติลดการจับ ตัวของเกร็ดเลือด นอกจากนั้น  ร่างกายสามารถนำกรดไขมัน อี พี เอ นี้ไปสร้างสารที่ช่วยการขยายตัวของหลอดเลือดด้วย</p> <p>           อี พี เอ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันดังนี้  ปลาทู  12.24  ปลาหมึกกล้วย  8.00  ปลาแป้น  7.87 ปลาใส้ตัน  6.43  ปลาเก๋า 4.44  ปลาช่อน 3.70  ปลาทรายแดง  3.05  ปลาสวาย  2.22  ปลาตาเดียว  2.06  ปลาเนื้ออ่อน 1.73  ปลาตะเพียน 0.76  ปลาหมอไทย 0.73  ปลากราย 0.68  และปลาดุก 0.54</p> <p>           สำหรับกรดไขมันอีกชนิดหนึ่งในกลุ่มเดียวกันนี้ คือ ดี เอ็ช เอ  นั้นมีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า  “กินปลาแล้วสมองดี” สาร ดี เอ็ช เอ  นี้มีในผนังเซลล์ทั่วร่างกาย  ทำให้เซลล์มีความไวต่อการรับสัญญานประสาท  นอกจากนั้นยังพบว่ามีปริมาณสูงในจอตาและที่สำคัญที่สุด คือ  เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง  ซึ่งพบว่ามีถึงร้อยละ 65  สมองมนุษย์มีไขมันชนิดนี้เป็นส่วนประกอบอยู่ครึ่งหนึ่งก่อนกำเนิด  ส่วนทีเหลือจะได้มาในช่วงปีแรกของชีวิต  เพราะฉะนั้น ดี เอ็ช เอ  จึงมีความสำคัญมากต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์และมารดาในระยะให้นมบุตร ที่ช่วยให้สมองทารกพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ผลการวิเคราะห์กรดนี้จากเนื้อปลาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันมีดังนี้ ปลาหมึกกล้วย 29.41  ปลาตาเดียว 25.35  ปลาทรายแดง 25.01  ปลาไส้ตัน 20.78 ปลาเก๋า 19.38 ปลาช่อน 16.39 ปลาทู 14.96  ปลาแป้น 11.31 ปลาสวาย  9.21 ปลาหมอไทย 6.59  ปลาดุก 4.22 ปลาตะเพียน 4.50  ปลาเนื้ออ่อน 3.15 และปลากราย 2.23 </p> <p><strong>คุณค่าทางด้านแร่ธาตุ</strong>  เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบของแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลาแล้วพบว่า  เนื้อปลาส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุแคลเซียมละฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่พอดี ต่อการสร้างกระดูกและฟัน  นอกจากนั้นยังพบว่าปลาบางชนิด  ได้แก่  ปลาตาเดียว  ปลาทู  ปลาไส้ตัน  ปลากระบอกและปลาหมอไทย  มีธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบในการสร้างเม็ดโลหิตแดง ธาตุนี้ป้องกันโรคโลหิตจางและแร่ธาตุที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีมากใน ปลาทะเลโดยเฉพาะปลาทู ปลาแป้น และปลากระบอก <br />คือ  ธาตุไอโอดีนที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์  มีหน้าที่ควบคุมการเผลาผลาญของพลังงานในร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นธาตุไอโอดีนยังเป็นส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของสมองด้วย</p> <p><strong>คุณค่าทางด้านวิตามิน</strong>  เนื้อปลามีส่วนประกอบของวิตามินบีหนึ่ง  บีสอง  และไนอะซิน  ที่ช่วยในการเกิดพลังงานของสารคาร์โบไฮเดรท  ไขมันและโปรตีน  ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการประกอบการงานและการเรียนรู้  ปลาชนิดต่าง  ๆ   ที่มีวิตามินเหล่านี้สูง ได้แก่ ปลาทู ปลากราย  ปลากระบอก  ปลาแป้น  ปลาทรายแดง  ปลาตะเพียน  ปลาหมอไทยและปลาหมึกกล้วย</p> <p>นอก จากคุณค่าทางโภชนาการของเนื้อปลาดังกล่าวข้างต้นแล้ว   ส่วนประกอบอื่นๆ ของปลา เช่น ไข่ปลา (ปลากระบอก)  มีโปรตีนและไขมันสูงเช่นกัน  นอกจากนั้นยังประกอบด้วยธาตุแคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เหล็ก  วิตามินเอ  วิตามินบีสอง  สูง   เช่นกัน  ตับปลาโดยเฉพาะปลาทะเล  มีปริมาณของ <br />วิตามิน เอและดี สูง จึงนำมาสกัดทำน้ำมันตับปลา ปลาเล็กปลาน้อยที่กินกระดูกได้ให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงด้วยเช่นกัน  กล่าวโดยสรุปก็คือ  ปลามีคุณค่าทางโภชนาการสูงในทุกด้าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านองค์ประกอบของไขมัน และไอโอดีน  ที่มีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า “กินปลาแล้วสมองจะดี” </p> <p>          ดังนั้น  เพื่อให้เยาวชนของชาติมีมันสมองที่ฉลาด  เป็นกำลังสำคัญในอนาคตและเพื่อให้ผู้ใหญ่ในวันนี้มีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์  ปราศจากโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจมีประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพสูง  เราควรนำปลา – อาหารคู่ชีวิต   มาประกอบอาหารรับประทานทุกวัน วันนี้ ท่านนึกได้หรือยังว่าจะทำอาหารอะไรดี  ถ้าท่านยังนึกไม่ออก  เรามีรายการเสนอแนะให้กับท่าน  เชิญตามมาดูรายการอาหารปลากับเราดีกว่า</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-87500172440315775722013-10-08T04:07:00.001-07:002013-10-08T04:07:56.617-07:00How to: ลดน้ำหนัก 28 กก. จากอีหมีควายกลายเป็นสายน้อย<p>เอาล่ะค่ะวันนี้จะมาแจกแจง อาหารที่รับประทาน กับการออกกำลังกายนะคะ <br />แต่ขอย้ำตรงนี้เลยว่า มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องทำแบบนุ๊ก คุณต้องเอาไปปรับใช้ให้มันเหมาะสมกับตัวเอง <br />แล้วนุ๊กใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนในการลด มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องใช้เวลาเท่านี้ <br />มันอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้ โอเคนะคะ เคลียร์! <br /><img src="http://f.ptcdn.info/438/010/000/1380706115-ScreenShot-o.png" /> <br />แนะนำตัว: สนุ๊กเกอร์ / นุ๊ก <br />เรียนอยู่: มหาวิทยาลัยมหิดล นานาชาติ การท่องเที่ยวและการบริการ <br />ติดต่อ: <a href="https://www.facebook.com/KulaphatsornT">https://www.facebook.com/KulaphatsornT</a> <br />คือ อย่างที่บอกนะคะ การลดน้ำหนักมันมีทางเดียว ไม่มีทางลัด <br />1. ควบคุมอาหาร</p> <p>2. ออกกำลังกาย <br />การควบคุมอาหาร มันไม่ใช่การ "อดอาหาร" คุณกินได้เท่าที่อิ่ม <br />แต่ไม่ใช่ว่าอิ่มจนจุก หรืออิ่มแบบตื๊อจนแทบอาเจียน <br />แล้วการควบคุมอาหาร มันไม่ได้ใช่การควบคุมแคลอรี่ เพราะถามว่า ถ้าคุณต้องควบคุมแคลอรี่ทุกวัน <br />คุณแน่ใจใช่มั้ยค่ะ ว่าคุณจะสามารถควบคุมแคลอรี่เท่านี้ไปได้ตลอดชีวิต <br />ควบคุมอาหารคือ การหลีกเลี่ยงอาหารมันๆ เลี่ยนๆ และของทอด ของหวานขนมหวานทุกชนิด รวมไปถึงพวกแป้งทั้งหลายแหล่ <br />มีหลายคนมากถามนุ๊กมาว่า ทุกวันนี้นุ๊กกินมื้อเย็นรึเปล่า หรือนุ๊กไม่กินเนื้อสัตว์กับแป้งเลยใช่มั้ย คือชีวิตมีแต่ผัก!?? <br />ตอบเลยนะคะ กินค่ะ ข้าวเย็นก็กิน ไม่เคยอดตั้งแต่แรก ถ้าคุณอดมื้อใดมื้อหนึ่ง มันก็จะไปหิวต่อเนื่องไปจนถึงอีกมื้อ สุดท้ายก็ ตู้ม ตบะแตก!! <br />การลดน้ำหนักมันไม่ได้หมายความว่าคุณห้ามกินเนื้อสัตว์เพราะมันอ้วน <br />เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน อย่างเช่น ปลาเผา และ อกไก่ย่าง หมูอบ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป พวกนี้คุณกินได้ค่ะ <br />ส่วนพวกแป้ง ถ้าคุณอดมากๆ มันจะโหย ให้คุณพยายามกินแป้งที่มันไม่ขัดสี เช่นข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง หรือขนมปังโฮลวีต <br /><img src="http://f.ptcdn.info/437/010/000/1380704995-ScreenShot-o.png" /> <br />ตัวนุ๊กเองโชคดีที่คุณแม่อยากให้ลูกสาวลดน้ำหนัก <br />เลยทำพวกสเต็กปลา หมูอบ และเปลี่ยนมาทานข้าวซ้อมมือกันทั้งบ้าน <br />แต่ถึงกระนั้นมันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้านุ๊กไปหลุดกินอาหารอ้วนๆ ข้างนอกบ้าน <br />สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "วินัย" นะคะ <br />ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าอาหารที่คุณกำลังจะกิน หรืออยากกิน หรือกินไปแล้วมันอ้วนรึเปล่า <br />นุ๊กบอกได้คำเดียวว่า คุณต้องคิดเอาเองค่ะ นุ๊กก็ตอบไม่ได้ ไม่ใช่ผู้หยั่งรู้ จะไปรู้เรื่องร่างกายคุณดีกว่าตัวคุณได้ยังไง <br />คุณไม่รู้เหรอค่ะว่ารสชาติของมันหวาน เผ็ด เค็ม ปริมาณที่คุณกินมันเยอะแค่ไหน <br />ถ้าสมมุตินุ๊กบอกว่า อ้วน กินไม่ได้ แต่คุณอยากจะกิน มันก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี <br />หากพลาดกินไปแล้ว ก็มาเริ่มใหม่ค่ะ แล้วก็จำเอาไว้ด้วยว่า วันนี้คุณไม่มีวินัย ทำให้ทุกอย่างผิดพลาด <br />ไม่ใช่มาถามว่า นั่นอ้วนมั้ย นี่อ้วนมั้ย อันที่จริงนุ๊กว่าทุกคนรู้อยู่แล้วนะคะ เพียงแต่หลอกตัวเองเพราะจะได้กินมันเข้าไปได้ <br />ยกตัวอย่างเช่น "เมื่อกี้ฉันกินข้าวนิดเดียวเอง กินเป๊ปซี่ตามอีกกระป๋องไม่น่าอ้วน" <br />คิดอย่างนั้นมันก็ได้แค่คิดอ่ะค่ะ เพราะเรื่องจริงมันอ้วนแน่นอน <br />แล้วพวกคำถามที่ว่า "อยากกินตลอดเลยค่ะ ทำยังไงดีคะ?” เอ่ออออ อันนี้จะให้ตอบว่ายังไงอ่ะค่ะ?? แล้วไม่ได้ถามมาคนสองคนแต่ถามมาเยอะมาก <br />อย่างที่นุ๊กบอกตั้งแต่กระทู้ที่แล้วแล้ว ว่ามันอยู่ที่ "ใจ" <br />แล้วก็อย่าเพิ่งท้อคิดว่าคุณต้องกินอย่างนี้ไปตลอดชีวิต <br />ทุกวันนี้นุ๊กเองก็กินขนมบ้างค่ะ ไม่เชื่อก็ดูซะ 555 <br /><img src="http://f.ptcdn.info/438/010/000/1380705659-ScreenShot-o.png" /> <br />แต่ไม่ได้ยัดนุ่นเข้าไปเหมือนเมื่อก่อน <br />แค่กินให้มันหายอยากค่ะ หรือถ้าสมมุติคุณตั้งเป้าอยากลด 20 กิโล <br />คุณลดไปได้ 10 กิโลแรก อยากให้รางวัลตัวเอง อย่างนั้นสามารถทำได้นะคะ <br />แต่ย้ำว่า นิดเดียวเท่านั้น!!! ไม่ใช่ซัดKFC แบบเต็มที่ต้องกลับไปลดเพิ่มอีกเหนื่อยกว่าเดิม <br />**** <br />พวกโภชนาการจบไปแล้วนะคะ มาต่อพวกออกกำลังกายเลยก็แล้วกัน <br />ช่วงลดน้ำหนัก นุ๊กจะออกกำลังกาย ทุกวัน วันล่ะไม่ต่ำกว่า 90 นาที <br />ที่เขียนในกระทู้ที่แล้วว่า ฮูลาฮู้บ กับ ซิทอัพ มันไม่ได้หมายความว่านุ๊กทำแค่ 2 อย่างนี้นะคะ <br />บอกเลยว่าทำทุกอย่าง <br />อะไรก็ตามที่เป็นการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะใช้บันไดแทนลิฟต์ <br />อาสาลงไปเปิดประตูรั้วให้แม่กับพ่อทุกครั้ง (ฮา คือประตูมันหนักอ่ะค่ะ มันจะได้ออกแรง) <br />ลุกขึ้นมาจัดห้อง เล่นไอซ์เสก็ตเวลาไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วก็แอโรบิคเองที่บ้านด้วย <br />ฮูลาฮู้บที่นุ๊กใช้เล่นจะหน้าตาเป็นแบบนี้! <br /><img src="http://f.ptcdn.info/433/010/000/1380700504-0img1108-o.jpg" /> <br /><img src="http://f.ptcdn.info/326/010/000/1380469182-o-o.jpg" /> <br />คะแนน : 10/10 ! <br />ราคา : 520 บาท <br />คอมเม้นท์ : พระเอกในการลดน้ำหนักเลยคะ เหวี่ยงทุกวัน ครั้งล่ะ 30 นาที เช้า-เย็น ลดจริงๆ ทั้งรอบเอวและน้ำหนัก ถึงราคาจะแพง แต่ซื้อครั้งเดียวใช้ไปตลอด <br />สำหรับคนที่ถามกันเข้ามาว่า ฮูลาฮู้บที่ใช้เล่นควรมีลักษณะเป็นยังไง อันนี้นุ๊กคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน แต่ถ้าให้นุ๊กตอบ นุ๊กคิดว่า <br />ฮูลาฮู้บที่เหมาะในการลดน้ำหนัก ควรมีความหนักนิดหนึ่ง สัก 3 ปอนด์ หรือ 1 – 1.5 กิโลกรัม <br />แล้วก็โยกแบบพอดีค่ะ ไม่ใช่โยกจนเอวเคล็ด เดี๋ยวต้องเสียตังค์ไปหาหมออีก <br />หรือว่าหมุนจนเกินเหตุ (แบบนุ๊ก T T) ก็ไม่ดีนะคะ เพราะฮูลาฮู้บเสียดสีกับร่างกายมาเกินไป <br />นุ๊กถึงขั้นเป็นแผลที่เอวสองข้างเลยล่ะค่ะ ทุกวันนี้มีรอยอยู่เลย <br /><img src="http://f.ptcdn.info/445/010/000/1380716364-ScreenShot-o.png" /> <br />ตอนแรกยอมรับเลยค่ะว่าเล่นแค่ฮูลาฮู้บอย่างเดียว สักพักมันก็เริ่มอยู่ตัว ไม่ลด ก็เลยคิดว่า เออมันน้อยไปนะ แค่ฮูลาฮู้บกับซิทอัพเนี่ย <br />แล้วพอดีตอนนั้นอยู่ม. 6 ที่โรงเรียนวิชาพละมีให้สอบกระโดดเชือก <br />รู้สึกจะผู้หญิง 200 ครั้ง ผู้ชายให้ได้ 300 ครั้ง <br />ทุกคนกระโดดได้ แต่ปัญหาคือ "มันเหนื่อยยยยย" <br />นุ๊กเลยกลับมาฝึกกระโดดที่บ้านเพื่อหวังจะเอาไปสอบ <br />ปรากฎว่าซ้อมไปได้สักอาทิตย์ เฮ้ยยย น้ำหนักลงไม่พอ สัดส่วนอะไรลดหมด <br />เลยตัดสินใจโดดเป็นชีวิตประจำวันไปเลยค่ะ <br />ไปๆ มาๆ มีช่วงนึงกระโดดวันล่ะ 1000 ที <br />Yes! สัดส่วนลงไปทั้งตัวน่าพอใจมากๆๆๆ เลยค่ะ <br /><img src="http://f.ptcdn.info/436/010/000/1380703138-ScreenShot-o.png" /> <br />(รูปตอน ม.6) <br />อีกอันนึงที่เราทำสม่ำเสมอจนทุกวันนี้แล้วชอบมากๆ <br />คือวิธีการกระโดดแบบสาวๆ SNSD ค่ะ <img title="หัวเราะ" alt="หัวเราะ" src="http://ptcdn.info/emoticons/emoticon-laugh.png" /> <br />ตัวนุ๊กเองชอบทิฟฟานี่มากกก <br />แล้วพอหลังจากมาเจอคลิปนี้ กระโดดนับตั้งแต่วันนั้นเลยค่ะ วันล่ะ 3 เซ็ท <br />นุ๊กคิดว่ามันเวิร์กอยู่นะคะ เพราะรู้สึกขากระชับขึ้นมาก น้ำหนักก็ลงไปอย่างต่อเนื่อง <br />ใครกระโดดไปเป็น ไปชมคลิปโลด <br /><a href="http://www.youtube.com/watch?v=caUkdS2JrjE"><img alt="คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ" src="http://img.youtube.com/vi/caUkdS2JrjE/0.jpg" width="640" height="360" /></a> <br />อ้าวเว้ยโดดใหญ่ ฮึ้บฮึ้บฮึ้บ! <br />โดดไปโดดมาได้ขาแบบนี้มา!! <br /><img src="http://f.ptcdn.info/436/010/000/1380702857-ScreenShot-o.png" /> <br /><img src="http://f.ptcdn.info/436/010/000/1380702960-ScreenShot-o.png" /> <br />กร๊าซซซซซ น้ำหนักลงไปอีก 6 กิโล <br />ขาลงมา 3-4 นิ้ว!! <br />กระชับทำให้ดูรูปร่างสวยด้วย <br />โอ้วววว แบบนี้ต้องทำไปตลอดดซะแล้ววว <br />เสริม! เคล็ดลับในการลดน้ำหนักที่ได้ผลและทำให้เกิดแรงใจ <br />ให้เอารูปคนดังที่คุณชอบ มาแปะเอาไว้ หรือตั้งเป็นหน้าจอคอม มือถือเลยค่ะ <br />แล้วท่องว่าฉันจะต้องดูดีแบบนี้ ...ฉันจะต้องดูดีแบบนี้ ..ดูดีแบบนี้ ...แบบนี้ <br /><img src="http://f.ptcdn.info/446/010/000/1380717217-ScreenShot-o.png" /> <br />** จำเป็นมั้ยว่าต้องออกกำลังกายแบบนุ๊กเป๊ะ! <br />ตอบเลยค่ะว่าไม่จำเป็น <br />คุณอยากออกกำลังกายแบบไหนก็ทำไปเถอะค่ะ <br />ขอให้มันเหมาะกับคุณและได้เคลื่อนไหวร่างกาย <br />คนที่อ้วนมากๆ เป็นร้อยโล <br />ก็ไม่ควรจะกระโดดเชือกตั้งแต่เริ่มเพราะมันทำให้ข้อเข่าคุณต้องรับน้ำหนักมาก อาจจะข้อเข่าเสื่อมได้ <br />คุณอาจจะไปว่ายน้ำ หรือวิ่งลู่วิ่ง มันก็แล้วแต่คุณ <br />รุ่นน้องคนนึงลดความอ้วนด้วยการกระโดดยางค่ะ เพราะมันเป็นการละเล่นที่น้องเค้าชอบแล้วก็ได้ออกแรงเยอะด้วย <br />แต่ละคนก็ต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง จะมาเลียนแบบกันทุกอย่างคงไม่ได้นะคะ <br />ฉะนั้นพวกที่ชอบถามว่า เล่นฮูลาฮู้บไม่เป็นควรทำอย่างไรดี <br />คุณคงได้คำตอบกันแล้วนะค้าา</p> <p><a title="http://pantip.com/topic/31057368" href="http://pantip.com/topic/31057368">http://pantip.com/topic/31057368</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-82911809468819938212013-09-19T17:50:00.000-07:002013-09-19T17:50:00.775-07:00แนะนำ...เคล็ดลับการลดพุงง่ายๆ<p><img src="http://f.ptcdn.info/909/009/000/1379540247-1-o.jpg" /> <br />การมีพุงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวของสาวๆ ซะจริงๆ ก็แหม่ไม่ว่าสาวคนไหนก็ย่อมอยากที่จะมีหุ่นดี หุ่นสวย หน้าท้องแบนราบ ง่ายๆ ว่าทุกอย่างต้องเป๊ะอะค่ะ แต่เนื่องจากว่าคนเราทุกคนนั้นก็ใช่ว่าจะมีทุกอย่างที่เป๊ะดั่งใจ ก็ต้องมีทำเองกันบ้างหล่ะน๊าเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย แต่ไอ้เรื่องพุงนี้สิจะลดอะลดได้ แต่สิ่งที่รู้คือการลดพุงมันลดอยากมากเลยอ่า ฮือๆๆๆ จะทำยังงัยหล่ะค่ะที่นี้ อยากใส่ชุดรับรูปโชว์เเคลิฟที่เป็นตัว s สะหน่อยโอ้ม้ายยยยยยยย......มีพุงยื่นออกมาสะงั้นไม่ไหวแน่ๆ ก็อย่าได้เคลียดขนาดนั้นเลยค่ะเพราะวันนี้อยากจะบอกว่า N3K จะมาแนะนำ...เคล็ดลับการลดพุงง่ายๆ ให้สาวๆ ได้หายเคลียดกันค่ะ อยากจะรู้แล้วสิค่ะว่า เคล็ดลับการลดพุงง่ายๆ ที่เราบอกกันนั้นจะเป็นอย่างไร อะงั้นเอาเป็นว่าตอนนี้เราไปดู เคล็ดลับการลดพุงง่ายๆ กันได้เลยค่ะ <br />เคล็ดลับการลดพุงง่ายๆ <br />1. ทานผักกันเถอะ <br />เริ่มจากวิธีง่ายๆ ที่สามารถทำกันได้ทุกมื้อออาหารที่รับประทานกันทุกวันนะคะ เพียงแค่คุณสาวๆ รับประทานผักให้มากๆ การรับประทานผักให้มากๆ ให้ได้สัก 5 ครั้ง/วัน ทำให้ ลดพุง ได้เลยทีเดียว คุณอาจเลือกรับประทานผักเป็นอาหารว่าง ระหว่างวันบ้างก็ได้ และสำหรับคนที่เกลียดผักจริงๆ อาจจะเริ่มรับประทานแต่น้อยๆ ก่อนก็ไม่ว่ากัน ส่วนเนื้อสัตว์ คุณก็ไม่จำเป็นต้องอด เพียงแต่ลดประมาณลงบ้าง และรับประทานเนื้อสัก 2 – 3 มื้อ/อาทิตย์ก็พอ เครื่องออกกำลังกาย <br />2. อาหารเช้า <br />สาวๆ ควรที่จะรับประทานแต่เช้าและรับประทานบ่อยๆ   การรับประทานอาหารแต่เช้า จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีตลอดทั้งวัน และมีโอกาสได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า เพราะถ้าคุณรับประทานอาหารเช้า ก่อนเวลาเที่ยงคุณจะไม่หิวแน่นอน แต่ถ้าคุณอดช่วงเช้า ก่อนเที่ยงคุณจะเริ่มหิวและอาจจะหาของขบเคี้ยวต่างๆ มารับประทานเล่น ซึ่งไม่มีประโยชน์ และทำให้อ้วนมากกว่าอาหารหลักอีก <br />3. การเดิน <br />ควรเดินให้ได้ทุกวัน แรกเริ่มคุณอาจไม่ต้องเดินเยอะมากมายอะไรนัก เพียงเดินให้บ่อยขึ้นกว่าปกติ เช่น เปลี่ยนมาใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือ ลองเดินไปรับประทานอาหารกลางวันไกลๆ ดูบ้าง <br />4. ออกกำลังกาย <br />โดยการบริหารหน้าท้องและเพิ่มกล้ามเนื้อ ก่อนนอนลองซิตอัพสัก 15 ครั้ง และถ้ามีเวลา ก็ออกกำลังกายบ้าง โดยจะเข้าฟิตเนสส์ เล่นแบดมินตัน หรือว่ายน้ำก็ได้ เพราะการออกกำลังกายทุกชนิด จะช่วยสลายให้ไขมันแปรสภาพเป็นกล้ามเนื้อ <br />5. เสริมวิตามิน <br />รับประทานวิตามิน E เนื่องจากวิตามิน E จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไข้หวัด และมะเร็งได้แล้ว วิตามิน E ยังช่วยป้องกัน หน้าท้องขยายได้ด้วย เพราะวิตามิน E นั้นมีสารต่อต้านอิซูลิน อันจะทำให้เราอ้วนได้ <br />6. เปลี่ยนนิสัยบอกใจตัวเองไม่ให้เครียด <br />เพราะถ้าคุณเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเก็บกดเวลาเครียดแล้ว ความเครียดตัวร้ายนี้จะไปเร่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ให้ทำงานมากขึ้น และเมื่อเรามีฮอร์โมนตัวนี้มากขึ้นเมื่อไร เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ก็จะส่งไขมันของเราไปกองที่หน้าท้องจนหมด อันจะทำให้เราพุงยื่นเหมือนชูชกได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเครียดจงหลับตาสูดหายใจลึกๆ ทำใจให้สบายจะดีกว่า <br />7. มาคบเพื่อนให้มากๆ <br />เพื่อให้คุณได้สามารถพูดคุยหรือปรึกษาได้ โดยเฉพาะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการลดน้ำหนักเหมือนกัน จะยิ่งทำให้คุณลดน้ำหนักได้ดีขึ้นและสนุกขึ้น โดยคุณอาจจะแข่งกันออกกำลังกาย หรือแข่งกันรับประทานผักให้เยอะๆ โดยถ้าใครลดน้ำหนักได้มากที่สุดจะได้รางวัล แบบนี้การลดน้ำหนักจะยิ่งดูมีสีสันและสนุกขึ้น เครื่องออกกำลังกาย <br />8. ลดละเลิกแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด <br />เพราะเบียร์จะทำให้หน้าท้องคุณ ยื่นได้อย่างน่าเกลียดแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้ดื่มแต่น้อย หรือจะเปลี่ยนมาดื่มไวน์แทนก็ไม่เลวเลย เพราะไวน์จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดี <br />ที่มา..n3k.in.th</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-23862555618106580722013-09-19T03:11:00.000-07:002013-09-19T03:11:00.203-07:003 ขั้นตอนเพิ่มความฟิตให้กับการออกกำลังกาย<p><img src="http://f.ptcdn.info/909/009/000/1379540855-2-o.jpg" /> <br />วันนี้จึงมีวิธีการเพิ่มความฟิตหรือความแข็งแรงให้กลับร่างกายอย่างปลอดภัยมาฝากกัน <br />ข้อที่ 1 เพิ่มวัน <br />สำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลังกายควรเพิ่มวันออกกำลังกายก่อน เพราะโดยปกติองค์การอนามัยโลก แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วัน ฉะนั้นการเพิ่มวันในออกกำลังกายให้มากขึ้นจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะร่างกายได้พักและกลับมาออกกำลังกายใหม่ ถ้าเราเดินเร็ววันละ 20 นาที ทางเลือกที่จะเพิ่มความเก่งของเราต่อไป ก็คือจะเพิ่มเวลาเดินหรือลองเพิ่มความเร็วในการเดินหรือลองวิ่งดู แต่ถ้าจะให้ปลอดภัย แนะนำให้ “เพิ่มทีละ 10-20% โดยใช้โปรแกรมเดิมสัก 1-2 อาทิตย์แล้วค่อยประเมินตนเองเพื่อปรับโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่” <br />ข้อที่ 2 เพิ่มเวลา <br />การเพิ่มเวลาในการออกกำลังกาย ก็คือ ให้ออกกำลังกายเหมือนเดิมแต่พยายามทำให้นานขึ้น เช่น ปกติวิ่งบนลู่ได้วันละ 20 นาที ถ้าอยากเพิ่มเวลา ก็เพิ่มครั้งละ 2-4 นาที <br />ข้อที่ 3 เพิ่มความหนัก และความเร็ว <br />การเพิ่มความหนักในการออกกำลังกาย ก็คือการเพิ่มความเร็วในการเดิน วิ่ง หรือ เพิ่มน้ำหนักที่เรายก ส่วนนี้ไม่ควรเป็นทางเลือกแรกๆในการเพิ่มของผู้เริ่มออกกำลังกาย แต่เป็นสิ่งที่ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือผู้ที่ออกกำลังกายแล้วไม่ได้ ผลสักทีควรจะลองพัฒนาตนเองดู เช่น วิ่งอยู่ที่ความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ลองวิ่งความเร็วที่ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมงดู หรือ ยกน้ำหนักที่ 10 กิโลกรัม ก็ลองเพิ่มเป็นยก 11-12 กิโลกรัมดู <br />รู้วิธีกันแล้วก็ขอให้ออกกำลังกายอย่างได้ผลและปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงกันทุกคนนะคะ <br />ปล…ไม่เเนะนำให้เพิ่ม2ข้อพร้อมกัน <br />ที่มา..lovefitt.com</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-18601527226713379562013-09-18T17:05:00.001-07:002013-09-18T17:05:29.000-07:00เราควรปอกเปลือกแอ็ปเปิ้ลไหมครับเวลากิน<p>ที่เข้าใจว่าที่บริเวณเปลือกผลไม้จะมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคนมาก เราชอบกินแอ็ปเปิล ยิ่งกัดกินทั้งเปลือกยิ่งชอบ แต่แอปเปิล ส้ม เดี๋ยวนี้เค้าเคลือบแว็กซ์ ให้มันเงางามใช่ไหมครับ เรามีวิธีดูว่ายี่ห้อไหนเคลือบหรือไม่เคลือบแว็กซ์อย่างไร แล้วเราควรปอกเปลือกแอ็ปเปิ้ลไหมครับเวลากิน แวกซ์นี้ล้างออกไหมครับ</p> <p>ไม่ควรปลอกเปลือกออกครับ เพราะเปลือกมันนั่นแหละประโยชน์เพียบ <br />- มีไฟเบอร์สูง ประมาณ 75 % ของไฟเบอร์ในแอปเปิ้ล จะอยู่ที่เปลือก <br />- เปลือกมีสาร Antioxidants พวก polyphenols สูง ช่วยจับกับอนุมูลอิสระ <br />- เปลือกมีฤทธิ์ prebiotic สูง ช่วยส่งเสริมแบคทีเรียดี ( Normal flora) ในลำไส้ <br />- ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งบางอย่าง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ ในสัตว์ทดลอง และลดโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด , stroke, COPD  ได้ <br />- มีวิตามิน A, C, K,  Niacin สูง และมีธาตุเหล็ก และ trace elements สูง</p> <p><img src="http://f.ptcdn.info/841/009/000/1379410883-2493001015-o.jpg" /></p> <p>ผมเคยอ่านมาและสรุปว่า ควรกินทั้งเปลือก ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำฉีดทำความสะอาดแล้วล้าง หรือไม่ก็ใช้พวกมะนาวหรือส้มอื่นล้างแวกซ์ออก หรือไม่ก็หาแอปเปิลที่เขาใช้สารผสมที่เป็นธรรมชาติ(ไม่เป็นเคมี) spray สารเคทีที่ฉีดอย่างไรก็เข้าในเนื้อแอปเปิลอยู่แล้ว <br />ผมไม่กังวลเรื่องแวกซ์มากมาย</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-34744495699047499842013-09-18T17:01:00.001-07:002013-09-18T17:01:43.331-07:00การดูแลคนผ่าตัดใส้ติ่ง<p>แฟนพึ่งผ่าตัดใส้ติ่ง ตอนนี้อยู่ในระยะพักฟื้น <br />ตอนนี้มีอาการท้องอืด(นิดหน่อย) ขับถ่ายได้ <br />ข้อมูลในการดูแล อาหารการกิน และการแก้ไขอาการท้องอืดครับ</p> <p>การผ่าตัดไส้ติ่ง(ไม่แตก)ทั่วไป จะฟื้นตัวเร็วมาก พยายามให้แฟนลุกจากเตียงไปห้องน้ำเอง เดินไป-มาบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ อาหารก็กินอะไรก็กินได้ตามต้องการ ถ้ากินได้ดีก็ถอดน้ำเกลือได้ ส่วนอาการท้องอืดก็จะหายไปถ้าทำตามที่บอก ส่วนแผลก็ต้องล้างทำความสะอาดทุกวัน <br />     โดยทั่วไปหลังผ่าตัดก็นอนพักอีกประมาณ 1 - 2 คืน ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อน นับจากนี้ไปกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ก็ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ ดังนั้นระหว่างนี้ห้ามออกกำลังกายที่ใช้แรงเบ่งมาก และห้ามยกของหนัก</p> <p> </p> <p>ทานข้าวต้ม หรือโจ๊ก งดอาหารย่อยยาก <br />อย่าหัวเราะ เพราะจะเจ็บแผลมาก</p> <p>เดินเยอะๆค่ะ ถ้าเจ็บแผลก็กินยาแก้ปวด แต่ต้องเดิน <br />กินผลไม้ทำให้ถ่ายสะดวกจะได้ไม่ต้องเบ่งตอนเช้า</p> <p>ผมเคยผ่าตัดครับ หลังผ่าตัด 1 อาทิตย์ เพื่อนเอามือมาโดนตรงนั้นพอดี อีกอาทิตย์ต่อมา แผลอักเสพ เริ่มโป่งพองขึ้นตกใจว่าจะไปหาหมอตอนเช้า แต่ตื่นขึ้นมาเลือดเต็มเตียง แผลที่เป็นโป่ง ๆ นั้นได้แตกไปแล้ว ผมสังเกตเห็นอะไรดำ ๆ ที่แผลเลยดึงออกมาได้ประมาณ 5 mm แล้วไม่กล้าดึงต่อ เลยไปหาหมอ หมอบอกแผลอักเสพ ไหมไม่ละลายดึงออกใหม่หมด เย็บแผลใหม่หมด เจ็บกว่าเดิมอีก กลายเป็นตะขาบไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากไหม หรือว่าเพื่อนกันแน่</p> <p>เดินเยอะๆ ขยับตัวบ่อยๆ ครับ เจ็บหน่อยแต่ก็ต้องฝืนเดี๋ยวพังพืดจะเกาะครับ <br />ของผมไส้ติ่งแตกครับ มันจะมวนๆ ท้องแบบนั้นแหละครับ <br />ท้องเหมือนมีลม ป่องๆ อึดอัด แต่ก็ทานปกตินะครับ ช่วงนั้นอยากทานแต่ของย่อยง่าย 55+(คิดไปเอง) <br />พวกโจ๊ก ข้าวต้ม ประมาณนี้</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-71805128962578941902013-08-31T06:19:00.001-07:002013-08-31T06:19:18.779-07:00กินไข่ขนาดแตกต่างกัน จะทำให้ได้โปรตีนต่างกัน<p>ไข่นั้นถือเป็นอาหารพื้นฐานที่คนทุกคนรู้จัก และนำมาทำเป็นอาหารมากที่สุด เพราะไข่นั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ทานง่าย แถมหาซื้อสะดวก </p> <p>นอกจากนี้ไข่ยังมีประโยชน์มากในด้านการเพิ่มกล้ามเนื้อและโปรตีนอีกด้วย เพราะมีสารอาหารที่สำคัญโดยเฉพาะไข่ขาว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที</p> <p>กินไข่ขนาดแตกต่างกัน จะทำให้ได้โปรตีนต่างไหม?</p> <p>แน่นอนครับ ขนาดต่างกัน สารอาหารก็ต่างกันครับ โปรตีนก็ไม่เท่ากัน </p> <p> แต่ความจริงคือ ขนาดไข่แดงของใบเล็กและใบใหญ่จะมีขนาดพอๆ กัน ที่ต่างกันคือปริมาณไข่ขาวครับ เวลาทำขนมบางอย่างในสูตรถึงต้องระบุว่าให้ใช้ไข่เบอร์ใหญ่ เพราะต้องการปริมาณไข่ขาวมากๆ บางคนชอบกินไข่ขาว เวลาทำไข่ดาว จะได้แผ่นโตๆ ก็จะซื้อไข่เบอร์ใหญ่</p> <p>ไข่ 1 ฟองให้โปรตีน 6 กรัม แบ่งเป็น ไข่ขาว 4 กรัม และไข่แดง 2 กรัม <br />แต่หลายคนก็คงสงสัยต่อว่า <br />แล้วมันเป็นไข่เบอร์ไหนฟะ? <br />ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะคลายความสงสัยให้เอง <br />มาตรฐานน้ำหนักไข่ของประเทศไทย แบ่งได้ดังนี้ <br />(1) เบอร์ 0 น้ำหนัก 70 กรัม/ฟองขึ้นไป <br />(2) เบอร์ 1 น้ำหนัก 65 – 70 กรัม/ฟอง <br />(3) เบอร์ 2 น้ำหนัก 60 – 65 กรัม/ฟอง <br />(4) เบอร์ 3 น้ำหนัก 55 – 60 กรัม/ฟอง <br />โดยไข่ขาว จะเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของไข่ทั้งฟอง <br />และไข่ขาวจะมีโปรตีน 11 เปอร์เซ็นต์ ส่วนไข่แดงจะมีโปรตีน 17.5 เปอร์เซนต์</p> <p> </p> <p>ดังนั้นสรุปแล้ว ไข่ขาวจากไข่แต่ละเบอร์จะมีโปรตีนดังนี้ <br />(1) เบอร์ 0 มีโปรตีน 4.62 กรัม <br />(2) เบอร์ 1 มีโปรตีน 4.46 กรัม <br />(3) เบอร์ 2 มีโปรตีน 4.12 กรัม <br />(4) เบอร์ 3 มีโปรตีน 3.8 กรัม <br />(ขอบคุณ  <a href="http://www.freakwhey.com/?m=webboard&a=show&topic_id=128&cate_id=8">http://www.freakwhey.com/?m=webboard&a=show&topic_id=128&cate_id=8</a>)</p> <p>ดังนั้นเราจึงควรรับประทานอาหารที่มีใข่เป็นส่วนประกอบกันนะครับ </p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-23892167887452584902013-03-13T06:25:00.001-07:002013-03-13T06:25:00.711-07:00เพราะการนั่งก็สําคัญนะครับ<h4>ได้รับ E-Card ดีๆเลยเอาบุญมาบอกต่อจ้า ผู้ป่วยโรคไตควรดู!!</h4> <p>กระทู้ข่าว </p> <p><a href="http://pantip.com/tag/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2">สุขภาพกาย</a> <a href="http://pantip.com/tag/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%95">โรคไต</a></p> <p>ได้รับ FWD อีเมลมาเป็นของเลซีบอย (บริษัทที่ทำเก้าปรับเอน) เป็น E-Card เห็นแล้วสนใจเนื้อหาของกิจกรรมมากเลย เค้ามีจัดงานแคมเปญเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะ เรามีเพื่อนที่เป็นโรคนี้ทรมานมาก เลยขอเอาบุญมาฝากต่อให้ชาวพันทิพได้ไปร่วมด้วยช่วยกัน เพียงแค่ไปนั่งเก้าอี้ที่เค้าจัดวางไว้ จำนวนครั้งที่เรานั่งจะแปรเปลี่ยนเป็นเงินสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรค ไต ใช้เวลาไม่มากแต่ได้บุญเลยอยากให้ชาวพันทิพได้ไปรับบุญครั้งนี้ด้วยกันนะ <br /><img src="http://f.ptcdn.info/105/003/000/1363174075-9a34abda89-o.jpg" /></p> <p>น่าสนใจนะครับ แถมได้บุญด้วยใครอยากร่วมทําบุญก็เชิญได้เลยครับ</p> <p> <a title="http://pantip.com/topic/30245874" href="http://pantip.com/topic/30245874">hteep://pantip.com/topic/30245874</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-2038844322231093232013-02-18T09:00:00.001-08:002013-02-18T09:00:42.214-08:00อาหารที่คนเป็นมะเร็งควรหรือไม่ควรกิน<p>ปัจจุบัน มีฟอร์เวิร์ดเมล์มากมาย หรือผู้หวังดีจำนวนมากที่พูดถึงเรื่องการใช้ผลไม้ อาหาร การปฏิบัติตัว เพื่อรักษาหรือป้องกันมะเร็ง หลายฉบับใช้รูปแบบเดียวกันออกมาหลายๆครั้ง สร้างความเชื่อความหวังให้กับผู้ป่วย <br />ปัญหาหนึ่งคือ ความเชื่อและความหวังเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทั่วๆไปมักไม่มีปัญหาอะไร แต่ในหลายครั้ง การแนะนำบางอย่างจะมีข้อขัดแย้งกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ยังความลำบากใจทั้งแก่ตัวคนไข้ ญาติ และคนที่แนะนำ <br />หลายครั้ง ผู้ที่หวังดี แนะนำสิ่งที่ขัดกับการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือสิ่งที่อ้างว่าเป็นองค์ความรู้ใหม่ ... เกิดความขัดแย้งขึ้นมาว่าตกลงที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่แนะนำ เกิดจากอะไร <br />เป็นเพราะไม่ได้ผลจริง ... หรือเป็นเพราะหมอโง่ดูถูกความรู้พื้นบ้าน หรือไม่ตามอัพเดทความรู้ใหม่ๆ <br />วันนี้ผมจะพูดในแต่ละเรื่องที่มีคนถามมามากในช่วง 1-2ปีที่ผ่านมาครับ ขอพูดในภาษาธรรมดาพื้นฐานแบบที่คนไม่มีพื้นทางการแพทย์ก็น่าจะรู้เรื่อง (บอกไว้ก่อนเผื่ออาจารย์หมอมะเร็งในห้องนี้มาเห็น .... )</p> <p> </p> <p><b>1. การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัด จะทำให้ผู้ป่วยแย่ลง</b> <br />ความเชื่อนี้มาจากการที่ว่าผู้ป่วยหลายคนที่เป็นมะเร็ง เมื่อได้รับการรักษาด้วยวิธีต่างๆแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือบางครั้งแย่ลงหรือเสียชีวิตขณะกำลังทำการรักษา <br />ปัญหาคือความเชื่อนี้เป็นอันตรายมาก เพราะเป็นความเชื่อเบื้องต้นที่ก่อให้เกิดเรื่องการไม่รับการรักษาและหลุดจากวงจรที่จะหายจากโรค <br />ผมขออธิบายหลักการของการรักษาแต่ละอย่างก่อนเพื่อความเช้าใจที่ตรงกัน <br />การรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัดมีหลักการของแต่ละตัวคือ <br />- เคมีบำบัด หลักการคือ เซลล์มะเร็งมักจะเป็นเซลล์ที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเซลล์ปกติ และจะมีการแบ่งตัวมากอย่างผิดปกติ ดังนั้นการจะฆ่ามันด้วยยาเคมีบำบัด จึงแบ่งเป็นสองพวก <br /><b>หนึ่ง เคมีบำบัดดั้งเดิม </b>: จะมุ่งเป้าจัดการที่เซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็ว ... เพราะเซลล์ส่วนมากในร่างกายมักไม่แบ่งตัว เซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็ว ดังนั้นการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวก็จะทำให้เซลล์มะเร็งที่กำลัง แบ่งตัวเกิดการแบ่งตัวผิดพลาดและตายไปได้ ... ปัญหาคือร่างกายเรามีเซลล์ที่ปกติแต่แบ่งตัวเร็วอีกหลายที่ เช่น เซลล์ในปาก รากผม หรือลำไส้ พวกนี้แบ่งตัวได้ในช่วง 3วัน5วัน ดังนั้นคนที่ให้เคมีบำบัดหลายคนก็จะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนผมร่วงได้เพราะ เซลล์ที่โดนไม่ได้มีแต่เซลล์มะเร็ง <br /><img src="http://f.ptcdn.info/260/002/000/1360967142-CMT1JPG-o.jpg" width="509" height="343" /> <br /><b>สอง เคมีบำบัดแบบใหม่</b> : ในยุค 15 ปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นยาที่ลงไปลึกถึงเซลล์มะเร็งแต่ละชนิด โดยเลือกยับยั้งหรือทำลายเฉพาะเซลล์ที่มีความจำเพาะต่อมะเร็งนั้นๆ โดยมีชื่อเรียกรวมๆว่า Targeted Therapy ข้อดีคือรักษามะเร็งได้จำเพาะมากๆ ผลข้างเคียงมักจะต่ำกว่ายาเคมีรุ่นดั้งเดิม ข้อเสียคือราคาแพงมหาโหดในหลายๆตัว  .... (ยาในกลุ่มนี้มักมีชื่อลงท้ายด้วยหนีบหรือแหนบ) <br /><img src="http://f.ptcdn.info/260/002/000/1360967155-CMT2JPG-o.jpg" width="520" height="184" /> <br />-การฉายแสงก็ใช้หลักการเดียวกับการให้เคมีบำบัดแบบดั้งเดิม คือทำลายเฉพาะเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วเป็นหลัก ... ก็จะเกิดอาการข้างเคียงได้ถ้าไปฉายในจุดที่เสี่ยง เช่น ไปฉายแถบช่องท้อง ก็อาจจะมีถ่ายเป็นเลือด ฉายโดนหน้า ก็จะมีปากแห้งคอแห้งปากลอกเป็นแผลได้ <br />แม้หลักการเบื้องต้นจะเหมือนกัน แต่ความแตกต่างของการฉายรังสีกับการใช้เคมีก็คือ การใช้เคมีบำบัด เคมีก็ไปทั่วร่างกายเหมาะกับมะเร็งที่ไปหลายตำแหน่ง  แต่การฉายแสงจะจำกัดใน วงแคบๆเท่าที่ต้องการได้ เหมาะกับมะเร็งที่อยู่ในที่ตั้งเดี่ยวๆ <br />-การผ่าตัด การผ่าตัดมักใช้ในการยกเอาดุ้นมะเร็งออกไปทั้งดุ้น  เหมาะกับการกำจัดมะเร็ง ทั้งก้อนออกไป โดยถือหลักว่า ถ้ายกออกไปได้ทั้งหมด ก็สามารถรักษาจน”หายขาด” ได้ ... <br />ที่หายขาดได้ เพราะว่า มะเร็งก็คล้ายกับเชื้อโรค ... การใช้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง ก็ยังมีโอกาสที่จะมีมะเร็งบางส่วนดื้อ ... อาจจะยุบในตอนแรกแล้วจากนั้นก็จะไม่ตอบสนองกับยาและการฉายแสง แต่การผ่าตัด ตัดออกมาแล้วจับมันโยนทิ้งเข้าเตาเผา ... ถ้ามะเร็งมันยังรอดได้ก็คงจะอำมหิตเกินไป <br />ในบางกรณี การผ่าตัดมะเร็งจะไม่ได้ทำเพื่อการรักษา แต่ทำเพื่อลดขนาดมะเร็ง(ตัดกำลังมันก่อนบอมบ์ด้วยเคมีบำบัด) หรือบางกรณีทำเพื่อเอาชิ้นเนื้อออกมาเพื่อหาว่าเป็ฯชนิดไหน (จับมาเค้นคอถามจุดอ่อน แล้วเอาเคมีไปบอมบ์)</p> <blockquote> <p>ฝรั่งเองก็เชื่อแบบนี้เมื่อ 20 ถึง 30 ปีก่อนสมัยที่เคมีบำบัดเพิ่งจะแสดงให้เห็นว่าการให้ดีกว่าไม่ให้ ข้อมูลขณะนั้นพบว่าสามารถเพิ่มโอกาสหาย หรือ เพิ่มระยะเวลารอดชีวิตในคนที่ไม่มีทางหาย อย่างไรก็ตามเกิดคำถามว่า "ระยะเวลาที่รอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นต้องแลกด้วยความทรมานจากเคมีบำบัดหรือ เปล่า" นำไปสู่งานวิจัยที่เปลี่ยนจากใช้อัตราหรือระยะเวลารอดชีวิตเป็นคุณภาพชีวิต แทน <br />ผลการศึกษานั้นน่าแปลกใจมากที่พบว่า แท้จริงแล้วเคมีบำบัดทำให้คนไข้แข็งแรงกว่า มีอาการน้อยกว่า ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเราลืมไปว่าการที่มะเร็งลุกลามนั้นก่อให้เกิดอาการ ที่มากกว่า แย่กว่าเคมีบำบัดเสียอีก ยาบาฝตัวแม้ไม่ได้ทำให้คนไข้อยู่ได้นานขึ้นแต่ถ้าลดอาการได้ก็ได้รับการ อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนได้แล้วครับ</p> </blockquote> <p><b>2. การผ่าตัดทำให้มะเร็งลาม</b> <br />มีส่วนที่จริงและไม่จริง ... แต่ประเด็นคือ ถ้าผ่าแล้วทำให้ตายไวขึ้น ไม่มีหมอที่ไหนอยากจะเหนื่อยฟรีหรอกครับ <br />ประเด็นคือ หลายคนมีก้อนที่ไม่รู้ที่มา พอไปเจาะเอามาตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง จากนั้นอาการก็หนักลงเรื่อยๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ <br />-    เจาะเนื้อ ทำให้เซลล์มะเร็งซึ่งเดิมรวมกลุ่ม แยกออกจากที่ตั้ง  เปลี่ยนจากระยะที่ไม่แพร่กระจายกลายเป็นลามออกมา จากระยะที่ 1 กลายเป็นระยะที่ 2  ... เหตุการณ์นี้เป็นตัวที่ต้องระมัดระวัง และทำให้เวลาเรียน จะมีก้อนในบางตำแหน่งที่แพทย์ต้องระวังในการเจาะ (เช่นก้อนที่คอที่สงสัยว่าติดเชื้อหรืออักเสบไหม ... จริงๆเจาะก็ได้ แต่ถ้าไม่ชัวร์เรื่องมะเร็งก็ต้องผ่าไปเลย) <br />-    มะเร็.ที่มีก้อนบางชนิดเป็นกลุ่มมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ... มะเร็งเหล่านี้ ถ้ามีก้อนที่คลำได้ มักจะมีขึ้นแล้วหลายตำแหน่ง ไม่ใช่ตำแหน่งเดียว ... พอมาตัดไปตรวจก้อนอื่นๆที่ทยอยขึ้นทีหลังเลยทำให้เข้าใจผิดว่าเจาะผ่าก็เลย ลาม <br />-    มะเร็งที่มีการกระจายไปแล้ว ... มะเร็งหลายตัวตอนมาอาจจะเจอก้อนเดียว แต่ว่าจริงๆมันลามไปแล้วเพียงแต่ยังหาไม่เจอ  ... จากประเด็นนี้ทำให้มะเร็.หลายชนิด มีวิธีการรักษาที่นำด้วยการผ่าก่อน จากนั้นสาดเคมีบำบัดไปเลยแม้ว่าจะไม่เจอการกระจาย เช่นในมะเร็งเต้านมที่พบว่าเมื่อผ่านไป5-10ปี พวกที่กระจายไปแล้วเพิ่งจะมาโต <br /><u>การเลือกวิธีว่าจะรักษาแบบใด มีหลักการที่ชัดเจน มีข้อดีข้อเสียของมัน  </u> <br />แต่ที่แน่นอนเหมือนกันคือ ถ้าไม่มีดีเลย หมอย่อมไม่เสนอให้คนไข้ ดังนั้นญาติและผู้ป่วยต้องชั่งข้อดีข้อเสีย <br />การให้เคมี ฉายแสง ผ่าตัด มีผลแทรกซ้อนมากน้อยบ้างตามแต่กรณี ตามแต่ชนิดมะเร็ง ... และข้อที่น่ากลัวที่สุดคือบางครั้งถึงตายได้ แต่ข้อดีก็คือถ้าให้อย่างเหมาะสม หรือให้แล้วไม่มีผลแทรกซ้อน ... ก็มีโอกาสดีขึ้นหรืออยู่ได้นานขึ้น <br />การไม่รักษาทั้งที่หมอแนะนำให้รักษา ข้อดีคือไม่เจอผลข้างเคียง แต่ข้อเสียคือเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการกำหนดวันไว้เลย เพราะมันก็จะโตไปเรื่อยๆ <br />ดังนั้น ควรคุยกับหมอ ถามให้ชัด แล้วตัดสินใจดีๆครับ</p> <p> </p> <p><b>3. เป็นมะเร็งห้ามบำรุง เพราะการบำรุงจะทำให้มะเร็งมีอาหารไปทำให้โต ???</b> <br />คนไข้ที่เป็นมะเร็งหลายคน บ่นว่ากินไม่ได้ น้ำหนักลดเอาลดเอา พอไปดูเมนูแล้วหมอเองก็ลมแทบจับ เพราะกลายเป็นเมนูผักมังสวิรัติไปเสีย <br />ความเชื่อเรื่องนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าพื้นฐานมาจากไหน แต่น่าจะเก่ามากและใช้ได้แค่บางกรณีเท่านั้น(หมอOncoท่านใดทราบช่วยเฉลยที) <br />แต่หลักการตามปกติในปัจจุบัน ไม่ใช่แบบนั้นแน่    ๆ <br />เรื่องของเรื่องก็คือ เซลล์มะเร็งจะมีการสร้างเส้นเลือดมาดูดสารอาหารรอบตัวมันอย่างมากมาย และการเติมโตก็ใช้พลังงานจากร่างกาย ... ดังนั้นคนที่เป็ฯมะเร็งบางคน แม้กินอาหารได้ก็จะผอมเอาผอมเอา เพราะมะเร็งแย่งไปใช้ และในคนที่โทรมลง ขาดสารอาหาร มะเร็งก็จะโตช้าลงเพราะไม่มีอะไรจะกิน ... พอเรากินอาหารเข้าไปเพิ่ม เริ่มมีแรง มะเร็งก็โตขึ้นต่อ ... ทำให้แต่ก่อนเชื่อกันแบบนั้น <br />ปัญหาคือเราวางแผนไว้แบบไหนล่ะ <br />ถ้าเราไม่อยากรักษาอะไรเลย การอดอาหารให้มะเร็งโตช้าก็น่าจะดี <br />แต่ปัจจุบันการรักษาช่วยยืดอายุได้ ดังนั้นการไปอดอาหารเพื่อยืดอายุก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำอีกต่อไป <br />เซลล์มะเร็ง ใช้พลังงานมากครับ บางครั้งก้อนโตๆ ใช้พลังงาน50%ของร่างกาย การกินน้อยๆจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เพราะพอพลังงานไม่พอมันก็จะไปแย่งอาหารเซลล์ดีๆ ดีไม่ดีคนไข้จะเสียชีวิตจากขาดอาหารหรืออ่อนแอติดเชื้อได้ <br />นอกจากนี้ การรักษาด้วยเคมีบำบัด ฉายแสง หรือแม้แต่ผ่าตัด ก็ต้องทำในคนไข้ที่มีพลังชีวิตในระดับนึง <br />หมอก็จะประเมินด้วยคะแนน (บ้างก็ ECOG performance scale บ้างก็ Kanofsky Scale) ถ้าฟิตก็ให้ยาเคมีแรงๆที่มีโอกาสหายมากกว่า ... ถ้าไม่ฟิต ก็ให้ยาเบาๆ หรือไม่ให้ยา <br />ดังนั้น บำรุงเข้าไปเลยครับ ถ้าไม่มีข้อห้าม ถามหมอที่รักษาแล้วให้อาหารไปเลย <br />เนื้อสัตว์ กินได้กินไป .... หรือถ้ากลัวเพราะเชื่อว่าเนื้อแดงจะเร่งมะเร็ง ก็เปลี่ยนไปกินไข่ขาวแทน <br />ข้าว กินได้กินไป ... หรือบางคนที่มีความเชื่อว่าน้ำตาลจะไปเร่งมะเร็ง ก็เปลี่ยนไปกินข้าวกล้อง เพราะสลายให้น้ำตาลช้ากว่าข้าวขาว <br />ทั้งนี้ ต้องดูโรคร่วมด้วยนะครับ ถ้ามีโรคไต เบาหวาน ... ก็อาจจะต้องงดอาหารบางอย่าง <br />และที่สำคัญ อย่าไขมันมากไปครับ ... สาเหตุอยู่ข้างล่าง</p> <p><b>4. อาหารหรืออะไรที่ห้ามบ้าง  เอาแบบห้ามแน่ๆ <br /></b> <br />ของที่ทำให้คนเป็นมะเร็งแย่ลงหรืออย่างน้อยไม่ดีขึ้นคือ <br />แอลกอฮอล์ – ความอ้วน – บุหรี่ <br />คนเป็นมะเร็งไม่ต้องการความอ้วนเท่าไหร่ (หลายงานวิจัยพบว่าความอ้วนทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีด้วยเหตุทางอ้อม หลายอย่าง)... แอลกอฮอล์ก็ไม่ได้ช่วยรักษา ซ้ำจะมีผลข้างเคียงได้อีกหลายอย่าง ... ดังนั้นอย่าไปกินให้เสียเวลา <br />บุหรี่ ... บุหรี่มีฤทธิ์ทำให้แผลหายช้าจากการไปหดเส้นเลือด ทำให้เวลาได้เคมีบำบัดหรือฉายแสง การฟื้นตัวจะช้า ... นอกจากนี้ยาเคมีบางชนิดจะมีผลข้างเคียงมากขึ้นในคนที่สูบบุหรี่(เช่น Bleomycin ที่การสูบบุหรี่ทำให้เกิดปอดเป็นพังพืดจนอาจเสียชีวิตได้ … ซึ่งคนไข้และญาติบางครั้งมองว่าตายเพราะเคมี ... ทั้งที่จริงๆควรเรียกว่าตายจากบุหรี่)</p> <p>5. กินผักสิดี ... จริงหรือ? <br />การกินผักเป็นสิ่งที่ดีครับ ช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ แต่ข้อควรระวังก็มี <br />-    การกินผัก ไม่ได้ทำให้มะเร็งหายได้ ... ดังนั้นไม่ได้จำเป็นต้องไปบังคับกินในกรณีที่กินไม่ได้จริงๆ <br />-    การกินผักการได้ไฟเบอร์ ไม่ได้ป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ชัดเจน ... จากแต่ก่อนที่เชื่อว่าชัดเจนมากๆ หลังๆก็ชักไม่แน่แล้ว ... ดังนั้นใครหวังกินผักป้องกันมะเร็งลำไส้อาจจะเพลาๆลงได้บ้าง <br />-    ระวังผักสดให้จงหนัก – หลายคนกินผักปลอดสารพิษ กินผักสด เพราะเชื่อว่าดีกว่าผักทั่วไปหรือผักที่หุงต้ม ประเด็นคือ ผักสดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคสูงโดยเฉพาะโรคทางเดินอาหาร และคนที่เป็นมะเร็งหรือได้ยาเคมีบำบัด บางครั้งมีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ ... การกินผักสดแล้วติดเชื้อ อาจจะอันตรายถึงตายได้ <br />ดังนั้น คนที่เป็นมะเร็ง ควรกินผักตามหลักปกติ นั่นคือ <br />-    กินผักผลไม้ ประมาณ 50%ของปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ (คนปกติก็ควรทำแบบนี้) การกินน้อยกว่านี้อาจจะมีผลด้านขับถ่ายบ้าง ในขณะที่กินมากกว่านี้ก็อาจจะขาดสารอาหารจากโปรตีนที่จำเป็นไป <br />-    ผักทุกชนิดที่กิน ต้องทำให้สุก ล้างให้สะอาด เพื่อฆ่าเชื้อโรค <br />-    ผลไม้ที่จะกิน ควรกินชนิดที่ต้องปอกเปลือก ... ไม่กินพร้อมเปลือก เพราะอาจมีเชื้อโรคได้ <br />นอกจากนี้ ในสาเหตุเดียวกัน คนเป็นมะเร็งต้องงดอาหารที่ไม่สะอาดหรือเสี่ยงไม่สะอาดเด็ดขาด เช่น ของหมักดองที่ไม่ผ่านความร้อน (ไข่ดองน้ำส้มที่ไม่ผ่านการต้มก่อนกินก็ด้วย) อาหารทะเล อาหารค้างมื้อ อาหารที่กินสดหรือใช้มือทำ เช่นส้มตำ</p> <p><b>6. ยาสมุนไพรบางตัว ยาพระ ยาโบราณ ใช้รักษาได้ </b> <br />หลายคนเชื่อการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก จากการที่เห็นหลายรายที่ไปรักษาด้วยยาลูกกลอนโบราณแล้วอาการดีขึ้น <br />ความจริงก็คือ <br />-    การแพทย์แผนไทย พูดถึงเรื่องมะเร็งไว้ในคนละแบบกับแผนปัจจุบัน มะเร็งในตำราไทยหลายตัวคือแผลเรื้อรัง หลายตัวการแพทย์ไทยไม่ทราบหรือระบุว่ามันคือมะเร็ง <br />-    การตรวจยาลูกกลอนในไทย มีรายงานการพบการปนเปื้อนสเตียรอยด์(บางอันคงไม่ปน แต่จงใจใส่) 20-90% <br />-    สเตียรอยด์ ใช้ลดอาการหรือลดขนาดมะเร็งบางชนิดได้ในระยะเวลาหนึ่ง <br />ดังนั้น การที่ยาแผนโบราณใช้ได้ผล อาจจะต้องระวังเรื่องยาสเตียรอยด์ปนเปื้อนมามากกว่าจะมองว่ามันใช้ได้ผลจริงครับ <br />นอกจากกรณีนี้ ยังมีอีกประเด็น ในกรณีการให้ยาเคมีบำบัด ทำเพื่อป้องกันการกลับมาของโรค ก็จะให้ทั้งที่ผู้ป่วยไม่มีอาการไปแล้ว ทีนี้พอคนไข้ไม่ได้รักษากับหมอแล้วเห็นว่าไม่เป็นอะไรเลยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นผลจากยาสมุนไพร <br />ทั้งที่จริงหมอให้ยาเคมีต่อเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต จะขาดยาเฉยๆหรือไปกินสมุนไพร ก็ให้ผลเท่ากัน <br />มะเร็งที่คนโดนหลอกไปเยอะก็คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งเม็ดเลือดขาวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครับ</p> <p><b>7. ผลไม้มีสารที่ฆ่ามะเร็งได้ ดังนั้นจงกินผลไม้เพื่อรักษามะเร็งให้หายขาดและหยุดยาเคมีบำบัดซะ</b> <br />ช่วงหลังForward mail หลายชิ้นจะระบุว่า ผัก ผลไม้หลายชนิดมีสารที่ต่อต้านมะเร็งได้ มีงานวิจัยทางห้องทดลองยืนยัน หรือดีกว่าเคมีบำบัดหลายร้อยพันหมื่นเท่า <br />ปัญหาคือ ผักผลไม้หลายชนิดมีสารพวกนั้น ... แต่มันใช้ได้ผลในหลอดทดลอง ความเข้มข้มก็ไม่เท่ากัน แถมกินไปแล้วจะไปถึงหรือไม่ก็ไม่รู้ <br />(อย่างรากแพงพวยฝรั่ง ... มียาวินคริสตินรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ แต่ถ้าจะให้ได้ขนาดรักษา ต้องใช้รากแพงพวยฝรั่ง 0.5-1 ตัน ... ) <br />ปัญหาอีกอย่างคือ หลายตัวเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ... “อาจ”จะช่วยป้องกันมะเร็ง  แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง <br />ไม่ว่ามะนาว มะกรูด ทุเรียนเทศ เห็ดญี่ปุ่น ชาเขียว ไลโคปีนมะเขือเทศ น้ำมันมะพร้าว ไฟเบอร์ ก็ไม่ได้มีผลในการรักษาหรือป้องกันมะเร็งแบบเด่นชัดพอที่จะต้องไปหาสารสกัด หรือไปขวนขวายมากินถ้าลำบาก <br />ถ้าสารพวกนี้ดีจริง ได้ผลจริง บริษัทยาไม่รอหรอกครับ จัดการทำขายกันหมดแล้ว</p> <p><b>สรุปอาหารการกินของผู้ที่เป็นมะเร็ง</b> <br />0. สุกสะอาด คือหัวใจอันดับหนึ่ง <br />1.กินให้พอครับ อย่าให้โทรม อยากกินอะไรกินเข้าไปยกเว้นของมันๆหรือหวานจัดเพราะอาจจะอ้วนจากไขมัน <br />2.กินโปรตีนให้มาก <br />3.งดผักสดผลไม้สดในระยะที่ใช้ยาเคมีบำบัด <br />4.ในช่วงที่ใช้ยาเคมีบำบัดและเสี่ยงต่อการมีเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรเลี่ยง อาหารทะเล อาหารที่เก็บไว้ข้ามมื้อ อาหารที่ทำสดเช่นส้มตำ ของหมักดองที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ <br />5. ทั้งนี้อาหารที่ห้ามอื่นๆก็ดูตามโรคร่วมครับ <br />6. ถามแพทย์ ... เพราะบางอาจจะมีอาหารที่ห้ามจริงๆขึ้นกับโรค (เช่นมะเร็งในระบบทางเดินอาหารที่อาหารควรกินอ่อนๆอะไรแนวนั้น)</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-22781441606734775252013-01-04T19:25:00.001-08:002013-01-04T19:25:37.805-08:00แนวโน้มการดูแลสุขภาพปี 2556<p>ในปัจจุบัน ผู้คนดำรงชีวิตในสภาวะที่เต็มไปด้วยมลภาวะความเครียดและการทำงานที่ต้องแข่ง กับเวลา และการรับประทานอาหารที่เร่งรีบ การดูแลเอาใจใส่สภาพร่างกายเป็นอย่างดีตามสภาพและเวลาที่เหมาะสม ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแล้วทำการรักษาในภายหลัง การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ค้นพบปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ช่วยให้มีการดูแลรักษาสุขภาพ ช่วยให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค การให้วัคซีน ยา หรือสารเคมีบางชนิดเพื่อป้องกันโรค การตรวจสุขภาพที่ให้ประโยชน์คุ้มค่า จะต้องเป็นการตรวจที่มีจุดประสงค์มุ่งป้องกันมากกว่ามุ่งการรักษา ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับผู้ที่มารับการตรวจอย่างแท้จริง ทั้งยังสามารถบอกความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายได้เป็นอย่างดี <br />    พ.ท.นพ.ณัฏฐ์พีรยช มรกตพรรณ หัวหน้าแพทย์ศูนย์ตรวจสุขภาพ รพ.พญาไท 3 กล่าวว่า ถ้าจะดูเรื่องของแนวโน้มของการดูแลสุขภาพในปี 2556 ก็ต้องดูว่าทางองค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) ได้กำหนดรูปแบบวันสุขภาพโลก (World Health Day) ซึ่งจะตรงกับวันที่ 7 เมษายน 2556 นั้น เป็นไปในทิศทางใด <br />    ปี 2556 นี้ WHO ได้เน้นไปที่เรื่องของ “โรคความดันโลหิตสูง” โดยพยายามชักนำให้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องของการป้องกันความความดันโลหิต สูง เพื่อผดุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ซึ่งเราจะพบว่าคนรุ่นใหม่กินอาหารมากขึ้น (หาซื้อง่าย ซื้อได้ทุกๆ เวลา) เพิ่มความเสี่ยงน้ำหนักเกิน-อ้วน, นอนไม่พอ, กินเกลือมากขึ้น ชอบกินอาหารสำเร็จรูป อาหารแห้ง อาหารจานด่วน และอาหารซื้อ เช่น แกงใส่ถุง ฯลฯ (มักจะมีเกลือมากกว่าอาหารทำเองที่บ้าน) ซึ่งหากเราให้ความสำคัญกับการป้องกัน ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการที่จะเจ็บป่วยจากโรคที่จะเกิดตามมาภายหลังได้มาก ทีเดียว ดังนั้นองค์การอนามัยโลกจึงกระตุ้นให้แต่ละประเทศ ผลักดันนโยบายและกิจกรรมที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันก่อนเป็นโรคนั่น เอง <br />    คุณหมอระบุว่า ความดันเลือดสูงเป็นโรคที่ไม่ค่อยมีอาการอะไร คนส่วนน้อยอาจปวดหัวบริเวณท้ายทอยได้บ้าง คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความดันเลือด 140/90 มม.ปรอท เป็นค่าปกติ, จริงๆ คือ เป็นค่าที่ "ต้องรักษา" แล้ว ดังนั้นการตรวจหาความดันเลือดสูงเป็นประจำ มีส่วนช่วยให้พบโรคได้ตั้งแต่แรกๆ ซึ่งถ้าเราได้มีการปรับเปลี่ยนแบบแผนในการใช้ชีวิต เช่น นอนให้พอ ลดเกลือ-ลดเค็ม ออกแรง-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ฯลฯ จะช่วยป้องกันโรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดช้าลง หรือบรรเทาเบาบางลง โอกาสหรือความเสี่ยงที่จะเป็นสโตรก (stroke = กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบ-ตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต), หัวใจเสื่อม-หัวใจวายลดลง, ไตเสื่อม-ไตวายก็จะลดลงได้ <br />    "ระยะไม่นานมานี้มีการศึกษาวิจัยพบว่า เด็กๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น อ้วนมาก ฯลฯ) มีโอกาสเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มเป็น 2-4 เท่าของเด็กทั่วไป และเด็กที่มีความดันเลือดสูงขึ้น แต่ยังไม่ครบเกณฑ์วินิจฉัยเป็นความดันเลือดสูง หรือมีความดันเลือดสูงขึ้นเล็กน้อย (ความดันเลือดในช่วงค่าบน (Systolic Blood Pressure) = 120-139 มม.ปรอท/ค่าล่าง (Diastolic Blood Pressure ) = 80-89 มม.ปรอท นั่นคือ เรียกว่า "ภาวะก่อนความดันเลือดสูง" หรือ "ว่าที่ความดันเลือดสูง (Prehypertension)" ซึ่งภาวะดังกล่าวนี้จะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีความดันเลือดเพิ่มขึ้นจนถึงระดับเป็นโรคความดัน เลือดสูงเต็มตัว" คุณหมอณัฏฐ์พีรยชกล่าว และว่า <br />    คนที่มีสุขภาพดีมาก เช่น นักกีฬา คนที่ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ คนที่ฝึกไทชิ-ชี่กง (เคลื่อนไหวพร้อมการหายใจช้าๆ), ฯลฯ มักจะมีชีพจรช้าลง และความดันเลือดต่ำกว่า 120/80 มม.ปรอท ทุกวันนี้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่ใช้ได้ดีมีราคาไม่แพง (ประมาณ 2,000-3,000 กว่าบาท) ก็น่าจะมีไว้ที่บ้านก็จะช่วยให้เราสะดวกสบายขึ้น ไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ <br />    นอกจากนี้ เรื่องสุขภาพหลักๆ ที่ยังอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปในปีที่ผ่านมา และก็น่าจะยังอยู่ต่อเนื่องไปในปี 2556 นี้ ก็คือเรื่องความงามอย่างมีสุขภาพดี เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของคนยุคนี้เลยทีเดียว ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าโปรแกรมลดน้ำหนักและคลินิกความงามตามศูนย์การค้า ใหญ่ๆ จึงมีมากมายให้เราได้เห็นอยู่ทุกๆ วัน ส่วนเรื่องของการรับประทานอาหาร ผู้คนก็จะเน้นไปที่อาหารเพื่อสุขภาพกัน เช่น Functional food (อาหารที่มีสารอาหารซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกเหนือจากคุณค่าทางโภชนาการแล้วก็ยังช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้ ซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพของสารอาหารเหล่านี้ได้แก่ ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ซึ่งก็ครอบคลุมอาหารหลายกลุ่ม เช่น ผัก ผลไม้ สมุนไพร ชา สารทดแทนน้ำตาล เช่น ฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ เส้นใยอาหาร) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกึ่งยาที่เรียกว่า nutraceutical supplements เป็นต้น <br />    สำหรับเรื่อง “สุขภาพดูแลได้ด้วยตัวเอง” ที่เรียกว่า DIY (DIY = Do It Yourself) HEALTH ซึ่งเป็นเทรนด์ในปีที่ผ่านมา ก็น่าจะยังคงแรงต่อไปในปี 2556 เทคโนโลยีและนวัตกรรม DIY ใหม่ๆ จะเรียงแถวออกสู่ตลาดเพื่อตอบรับโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะในเชิงการป้องกัน ตรวจสอบ ปรับปรุง เฝ้าระวัง และบริหารจัดการสุขภาพของตัวเอง ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้จะออกมาในรูปแบบของ “แอพลิเคชั่น” ในมือถือเป็นส่วนใหญ่อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน.</p> <p> </p> <p><a title="http://www.thaipost.net/x-cite/030113/67431" href="http://www.thaipost.net/x-cite/030113/67431">http://www.thaipost.net/x-cite/030113/67431</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-82129354721054267262012-10-23T18:21:00.001-07:002012-10-23T18:21:35.485-07:00White Light ชุดฟอกฟันขาว สามารถฟอกฟันให้ขาวสวยภายในเวลาอันสั้นเพียง 5 นาทีต่อวัน<p>White Light ชุดฟอกฟันขาว สามารถฟอกฟันให้ขาวสวยภายในเวลาอันสั้นเพียง 5 นาทีต่อวันเท่านั้น <br /><strong>ชุดฟอกฟันขาว</strong> นำเข้า ราคาประหยัด ใช้เพียง 5 นาทีต่อวันเท่านั้น  ฟันของคุณจะขาวสดใส สร้างความมั่นใจให้กับยิ้มของคุณ!! <br />อุปกรณ์ที่มาพร้อมกับชุกฟอกฟันขาว <br />- ซิลิโคนใสครอบฟัน 1 คู่ ฟันบน/ฟันล่าง <br />- เจลฟอกฟันขาว ขนาด 5cc. 35% คาบามาย <br />- ไฟ Plasma ช่วยทำให้ฟันขาวเร็วยิ่งขึ้น <br />TIP:  หลังจากใช้ชุดฟอกฟันขาวแล้ว  ไม่ควรรับประทานอาหาร 2-3ชม. <br />***  ชุดฟอกฟันขาวนี้ ห้ามใช้กับ สตรีที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่แพ้ผลิตภัณฑ์ฟอกฟันขาวมาก่อน  และเด็กต่ำกว่า 12 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อน  *** <br />***  ชุดฟอกฟันขาว ช่วยขจัดคราบ กาแฟ บุหรี่ หรือคราบอาหารที่ทำให้ฟันของคุณหม่นหมอง ยิ้มไม่มั่นใจ  กลับมาสดใส<strong>ฟันขาว</strong>สะอาด **** <br />***  หลังจากใช้ชุดฟอกฟันขาวแล้ว  ฟันของคุณจะขาวยาวนาน 6เดือน ถึง 2ปี  ขึ้นอยู่กับวิธีการรับประทานและดำเนินชีวิตของคุณด้วย  *** <br />คุณสมบัติ: <br />• Whitens  ขาวจริงภายใน 10 นาที /วัน (ประมาณสัปดาห์แรก สีฟันก้อจะขาวขึ้น) <br />• ง่ายต่อการรักษา <br />• เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งงานและวันสำคัญอื่นๆ <br />คำถามพบบ่อย <br />1.white light ขจัดคราบเหลืองบนฟันได้อย่างไร ? <br />เนื้อ ฟันของคนเราเมื่อมองด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงๆ พบว่ามีลักษณะเป็นรูพรุนเล็กๆมากมายและพรุนเล็กๆ เหล่านี้เป็นที่สะสมของคราบสกปรกต่างที่ทำให้ฟันเหลืองแต่เมื่อเจลของ white light สำผัสกับเนื้อฟันเจล จะปล่อย โมลิกุลของออกซิเจนให้แทรกเข้าไปในรูพรูนเหล่านี้ ทำปฏิกริยาฟอกคราบสกปรกต่างๆ ให้หมดไป ทำให้ฟันขาวขึ้น <br />2.ใช้เวลานานเท่าไรถึงจะเห็นผล ? <br />โดย ทั่วไป คุณจะพบว่าฟันขาวขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หากใช้ white light ทุกวัน ทุกวัน และถ้าจะให้ได้ผลมากที่สุด จะต้องใช้ติดต่อกัน ประมาณ 3 สัปดาห์ <br />3.ฟันจะคงความขาวอยู่ได้นานเท่าไหร่ ? <br />white light ช่วยให้ฟันขาวได้นาน 1 ปี ถึง 3 ปแล้วแต่บุคคล แต่ขอแนะนำ วิธีช่วยให้ฟันคงความขาวคือ ใช้ white light ซ้ำเดือนละครั้ง <br />4.มีอาการเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อใช้ white light ? <br />white light มีความปลอดภัยต่อเหงือกและฟันสูงแต่ในบางรายอาจเกิดอาการเสียวฟันได้หากเกิด อาการดังกล่าว ควรลดเวลาในการใส่ถาดฟันลงครึ่งหนึ่งหรือหยุดใช้ชั่วคราวอาการเสียวฟันจะหาย ไปเองภายใน 1-2 วัน หลังจากนั้นค่อยเริ่มใช้ white lightหรือมีแผลในปากหรือเหงือกอย่าเพิ่งใช้ white light ให้รอจนกว่าแผลหายสนิทแล้วจึงเริ่มใช้ใหม่   <br />วิธีการฟอกสีฟัน <br />1.แปรงฟันให้สะอาด และเช็ดฟันให้สะอาด <br />2.จับถาดครอบฟันขึ้นมา(ทีละอัน) <br />3.สวมถาดฟันใส่ฟันเริ่มจากอันบนก่อนแล้วตามด้วยอันล่าง หากน้ำยาหกโดนเหงือก ให้ใช้สำลีก้านเช็ดออก <br />4.นำไฟ Plasma ครอบเข้าไป ตามรูป จะมีลำแสงสีฟ้า(ระหว่างเปิดไฟ พยายามอย่ามองไฟค่ะ เพื่อถนอมสายตา) <br />5.จับเวลา ใช้เวลาเพียง 10 นาที ใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อวัน ครบ10นาทีแล้วให้ล้างทำความสะอาดฟันด้วยน้ำสะอาด <br />6.หากให้ขาวขึ้นอีกสามารถทำต่อเนื่องได้ 2-3 สัปดาห์หรือจนกว่าจะพอใจ <br />7.หลังจากนั้นอาจจะทำอีกเดือนละครั้งหรือสองครั้งตามต้องการ <br />สนใจดูข้อมูลได้ที่ <a title="http://www.longsinka.com/topic/1842-White-Light%C2%A0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-5-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.html" href="http://www.longsinka.com/topic/1842-White-Light%C2%A0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-5-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.html">http://www.longsinka.com/topic/1842-White-Light%C2%A0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-5-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.html</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-25985188977969745482012-10-17T11:41:00.001-07:002012-10-17T11:41:21.736-07:00พริกไทยดำหรือพริกไทยขาวเผ็ดกว่ากัน?<p>พริกไทยดำ กับ พริกไทยขาว มีทั้งความเหมือนและความต่างดังนี้ พริกไทย เป็นไม้เลื้อย มีชื่อสามัญว่า Black Piper มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Piper Nigrum Linn วงศ์ Piperaceae เมื่อยังอ่อนผลของ พริกไทย มีสีเขียว พอเริ่มแก่ก็จะกลายเป็นสีแดงและดำในในที่สุด <br />พริกไทยดำ (Black Peper) และ พริกไทยขาว (White Peper) ซึ่งทั้งสองอย่าง ได้มาจากพืชชนิดเดียวกันแต่วิธีการเก็บต่างกัน นั่นคือ <br />- พริกไทยดำ ได้จากการเก็บผล พริกไทย ที่เป็นผลแก่เต็มที่แต่ยังไม่สุก เมื่อเก็บแล้วนำไปตากบนลาน ใช้สังกะสีหนือผ้าใบคลุม ให้เม็ด หลุดจากขั้ว จากนั้นทำอย่างไรก็ได้ให้เหลือแต่เม็ด (ปกติคงใช้เท้าเหยียบ ร่อน และเหยียบ ซ้ำอีก) นำเม็ดผึ่งแดด ให้แห้งสัก 4 – 5 วัน ผิวก็จะเหี่ยวย่น เป็นสีดำ <br />ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของ พริกไทยดำ (Black Peper) จะมีน้ำมันหอมระเหยมาก ประมาณร้อยละ 2-4 และมีสารแอลคาลอยด์เป็นสารสำคัญ เช่น Piperine ซึ่งเป็นตัวทำให้มีรสเผ็ด นอกจากนี้ยังมี Piperidine, Piperitine, Peperyline, Piperolein A และ B <br />- พริกไทยขาว (White Pepper) นั้นได้จากการเก็บผล พริกไทย ที่แก่จัด และผลเริ่มสุกเป็นสีแดง และกลายเป็นสีดำ จากนั้นนำไปแช่น้ำ เพื่อลอกเอาเปลือกชั้นนอกออกไป โดยจะแช่ในน้ำไหล หรือน้ำนิ่งก็ได้ แต่ พริกไทย ที่แช่น้ำไหล จะมีสีขาวกว่า พริกไทย ที่แช่ในน้ำนิ่ง โดยจะใช้เวลาในการแช่ประมาณ 7-14 วัน หลังจากนั้น นำ พริกไทย ที่แช่น้ำมานวด เพื่อลอกเปลือกออก ล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วนำไปตากแดดทันที โดยใช้เวลาในการตากแดดประมาณ 4-5 วัน ก็จะแห้งสนิท <br />- การทดสอบความแห้งทำโดย ใช้ฟันขบเมล็ด พริกไทย ถ้าแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสดงว่าแห้งสนิทดี แต่ถ้าแตกออกเป็นสองซีก แสดงว่ายังไม่แห้งสนิท หรือทดสอบโดยใช้มือกอบเมล็ด พริกไทย แล้วค่อยๆกางนิ้วออก ให้เมล็ด พริกไทย ลอดระหว่างนิ้ว ถ้าเมล็ดลอดออกได้ง่าย ไม่ฝืด และเมล็ดไม่เกาะติดกัน แสดงว่าเมล็ดแห้งสนิท ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ของ พริกไทยขาว (พริกไทยล่อน) จะมีน้ำมันหอมระเหยต่ำกว่า พริกไทยดำ ดังนั้นตัวที่ทำให้ช่วยขับลมก็คือ พวกน้ำมันหอมระเหยนั่นเอง พริกไทยขาว จะมีราคาแพงกว่า พริกไทยดำ เนื่องจากมีขั้นตอนในการผลิต และค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผลิต พริกไทยดำ และประชาชนยังนิยมบริโภค พริกไทยขาว มากกว่า พริกไทยดำ แต่ในแง่สรรพคุณ ทางยาสมุนไพรนั้น พริกไทยดำ จะมีตัวยามากกว่า พริกไทยขาว</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-82748613561800177182012-10-08T01:03:00.000-07:002012-10-08T01:03:00.190-07:00กากแครอทที่ได้จากการคั้นน้ำเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้<p>หลายคนสงสัยว่า กากแครอทที่เราเอาทิ้งแล้วนั้นสามารถเอาไปทําประโยชน์อะไรได้บ้าง เพราะบางคนหั่นทิ้งไปเป็นกะละมังเลยก็มี พอมานึกอีกทีก้เสียดาย น่าจะนําเอาไปทําประโยชน์อะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อยละ </p> <p>ดังนั้น เราจึงมีเมนูสําหรับนํากาก แครอทไปทําอาหารกันครับ ดูแล้วน่ารับประทานมาก </p> <p><a name="1"></a> <p>เอามาต้มทำซุปเพื่อสุขภาพค่ะอร่อยด้วย <br />เอามาทำไข่เจียวแครอท <br />เอามาทำเค๊กแครอท </p> <p><img src="http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12755645/L12755645-1.jpg" width="437" height="329" /></p> <p><a name="2"></a> <p>เอามาทำเค๊กแครอท </p> <p><img src="http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12755645/L12755645-2.jpg" width="441" height="337" /></p> <p><a name="3"></a> <p> <br /></p>   </p> <p>01 </p> <p><img src="http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12755645/L12755645-3.jpg" width="444" height="347" /></p> <p><a name="4"></a> <p> </p> <p>  <br /></p>   </p> <p>02 </p> <p><img src="http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12755645/L12755645-4.jpg" width="450" height="354" /></p> <p>เห็นใหมครับ ดูรูปแล้วน่ากินจังเลย สงสัยต้องเอากากแครอทมาทําอาหารบ้างแล้วครับ </p> <p>เผื่อใข่เจียวจะอร่อยกว่าเดิม5555</p> <p></a></p> <p></a></p></p></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-13388111072316700242012-10-06T23:57:00.001-07:002012-10-06T23:57:00.282-07:00ข้อคิดเห็นของการกินยาถ่ายพยาธิ<p><img style="display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px" align="left" src="http://www.bangkokhealth.com/cimages/parasite002.jpg" width="171" height="233" /></p> <p><a name="1">การใช้ยาถ่ายพยาธิบางอย่าง อาจจะทำให้พยาธิตัวตืดมันเมา แล้ว ตัวอ่อนกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งสมองได้ <br />หา แพทย์ เพื่อรับยาถ่ายของมัน ซึ่งอาจจจะให้กินร่วมกับยาระบายในระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อที่จะถ่ายออกให้หมดในครั้งเดียว อย่างรวดเร็ว ครับ <br /></a></p> <p><a name="1">อย่าซื้อยาถ่ายพยาธิกินเองอีกนะจ้ะ <br />พยาธิ ที่(พอจะ)ซื้อยาถ่ายกินเองได้ ต้องเป็นตัวกลมเท่านั้น (พยาธิไส้เดือน, ตัวจี๊ด ฯลฯ) <br />ตัวแบนเนี่ย ห้ามกินเองเด็ดขาด <br />การถ่ายพยาธิตัวแบน ต้องกิน magnesium sulphate ก่อน เพื่อให้มัน paralyze ถึงจะให้ยาถ่ายต่อได้ <br />เพราะถ้าเกิดคลื่นไส้ (reverse peristalsis) ขึ้นมา หรือ สำลัก (เกิดง่ายด้วย)</a> จะแย่นะครับ </p> <p><a name="2">เดี๋ยวนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่ข่าวหนังสือพิมพ์ลงข่าวแปลกๆเกี่ยวกับสัตว์ที่ไปอยู่ผิดที่ผิดทางในลักษณะที่ว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด <br />เช่น <br />หนอนไปอยู่ในจมูก.... แล้วบอกว่าเป็นรายแรกในประเทศ....ซึ่งจริงๆเจอกันมา40-50ปีแล้ว (และอาจจะมีเจอมาก่อนนั้นแต่ไม่ได้บันทึกไว้) <br />หนอนไปอยู่ในสะดือ.... เรื่องนี้สิแปลก เด็กอยู่ในตู้อบแล้วดันมีหนอนขึ้น <br />พยาธิ มรณะค้นพบใหม่ กินเนื้อหมูไม่สุกแล้วถึงตาย เฮ้อ เค้าเจอมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่หนังสือพิมพ์บางฉบับก็แปลก ลงข่าวมาก็หลายครั้งแต่ทุกครั้งลงว่าพึ่งค้นพบ <br />พยาธิมรณะขึ้นสมอง นี่ก็ไม่ได้ถึงกับตาย รักษาก็หาย <br />บังเอิญช่วงนี้กำลังหาเรื่องมาลง แล้วมีคนมาบอกว่าน่าจะลองเอาเรื่องพยาธิมาพูดดู ก็เลยนึกสนุกลองเขียนดูครับ <br />พยาธิในความหมายของแพทย์ คือ Parasite ซึ่งคือสัตว์อะไรก็ได้ ที่มาอาศัยอยู่กับคนแบบเบียดเบียน <br />แต่ในความหมายของคนไทย พยาธิคือหนอน <br />ผมขอเล่าเรื่องแบบตามใจตัวเองแล้วกันนะครับ มาพูดถึงพยาธิที่ไม่ใช่หนอนก่อนกันแบบสั้นๆแล้วกัน <br />ปี ที่แล้ว ผมตรวจเด็กคนนึงที่มีภูมิแพ้ผิวหนัง(เรื่องนี้ก็ติดไว้หลายวันแล้ว คราวหน้าจะเขียนแล้วค้าบ) เด็กเป็นผื่นเห่อขึ้นตามแขนขาโดยเฉพาะมือ และมีผื่นขึ้นตามตัว เคยได้ยาไปหลายขนานแล้วอาการไม่ดีขึ้นนัก ผื่นแดงจะยุบเฉพาะตามตัว แต่ว่าไม่ว่ายังไงก็จะเหลือผื่นที่มือเท้าและขาหนีบเสมอ <br />หลังจากที่ บ้านได้ลองเอาผ้าปูที่นอนไปซัก ให้ยาแก้คันนานาชนิดก็ไม่หาย มาวันนั้นก็พาน้องของเด็กคนนั้นมาด้วย ซึ่งผมก็งงว่า ทำไมภูมิแพ้ถึงเป็นกันทั้งพี่ทั้งน้อง <br /><b>เฉลยออกมาก็ตอนหมออาวุโสคนนึง เดินมาดูแล้วบอกว่า เด็กทั้งสองเป็นหิด! แล้วอาจารย์ก็เดินไป......ปล่อยให้งงเป็นไก่ตาแตกทั้งคนตรวจทั้งคนไข้+พ่อ แม่</b> <br />อีกครั้งก็เมื่อพุธที่ผ่านมาได้เข้าห้องผ่าตัดตัดก้อน เนื้อที่หัว ระหว่างตัดก็เห็นอะไรบางอย่างเดินตกลงมาในแผลผ่าตัด...... ก็เลยเอาออกมา แล้วมันก็ดุกดิกอยู่จมกองเลือด(ที่เปื้อนที่คีบ)....มันคือเหา!! <br />พวก หิดเหาโลนและแมลงอื่นๆเหล่านี้ เป็นแมลงที่โดยตัวมันเองไม่ได้ทำอันตรายอะไรนัก แต่เวลาโดนกัดคันแล้วเกาอาจเหลือแผลให้ติดเชื้อซ้ำได้ ทางแก้ก็ใช้ยาตามที่หมอสั่งหรือใช้ยาตามแบบชาวบ้านก็ได้ เดี๋ยวก็หายครับ <br />ต่างจากบางประเทศที่มีมีแมลงพวกเห็บหมัดที่นำโรคร้ายแรงเช่นกาฬโรคหรือโรคไข้ชนิดต่างๆ <br />นับว่าโชคดีที่ไทยไม่มีโรคติดเชื้อทางเหาหิดโลนล่ะ <br />กลุ่มต่อไปคือพวกพยาธิ <br />ขอแบ่งเป็นกรณีไม่ถึงตายกับกรณีถึงตายครับ <br />ไม่ใช่พยาธิพวกที่ถึงตายกับไม่ถึงตายนะครับ ไม่เหมือนกัน... เดี๋ยวมาดู <br />กรณีไม่ถึงตายเป็นกรณีที่พบบ่อยกว่า <br />เพราะว่าสัตว์ทุกชนิดรักชีวิตของตนเอง ย่อมไม่ดูดทำลายที่ที่ตนอาศัยอยู่ มันก็แค่พอกินพอใช้เอาแค่ร่างกายโทรมๆ <br />ตัวอย่างก็คือพวกพยาธิลำไส้ชนิดต่างๆ ที่ดูดเลือดหรือดูดอาหารจากลำไส้คน <br />เรามาดูกรณีที่ถึงตายหรือเป็นอันตรายดีกว่า เพราะจะได้ป้องกันได้(เข้าเรื่องซะที) <br /><u><b>กรณีถึงฆาตจากพยาธิ</b></u> <br />1. กินยาถ่ายพยาธิสุ่มสี่สุ่มห้า เช่น <br />เด็ก ตัวแคระแกรน ตรวจเจอไข่พยาธิไส้เดือนปุ๊บ ก็เจอยาถ่ายพยาธิแบบธรรมดาให้ไป... ให้ไปวันเดียวปวดท้องมาก..แล้วก็ตายในเวลาไม่นาน ผ่าศพก็พบว่าพยาธิไส้เดือนมันชอนไชออกนอกทางเดินอาหารปกติทะลุทะลวงออกนอกลำ ไส้กัน <br />ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น : เพราะยาฆ่าพยาธิบางชนิด ไปทำให้พยาธิดูดอาหารจากร่างกายไม่ได้ ในเด็กคนนี้มีพยาธิเยอะมากจนแคระแกรน พยาธิจำนวนมากในร่างกายพอเจอยาก็คิดว่าไม่มีอาหารก็เลยดิ้นรนหาที่อยู่ที่มี อาหารใหม่ก็เลยชอนไชไปจนตายทั้งคนทั้งพยาธิ <br />กรณีนี้ไม่ได้เจอกันง่ายๆ แต่ก็ทำให้ต้องพึงระลึกไว้ว่าไม่ใช่แต่ว่ารู้พยาธิแล้วจะเลือกยาง่ายๆ <br />หรือ กรณีตรวจเจอไข่พยาธิตัวตืด แล้วก็ให้กินยาถ่ายพยาธิทันที.. ซึ่งถ้ามาพบแพทย์ แพทย์มักให้ยาถ่ายยาระบายไปกินคู่กัน ทั้งนี้เพราะว่าคนเราบางครั้งจะมีการย้อนกลับของอาหารในลำไส้มายังกระเพาะ <br />ไข่ พยาธิตัวตืดบางชนิด เมื่อถูกน้ำย่อยในกระเพาะจะฟักเป็นตัวแล้วเข้าไปเป็นเม็ดสาคูในที่ต่างๆ อย่างเช่นกล้ามเนื้อ หรือหนักๆก็สมอง..... ลองนึกที่เรียนตอนเด็กๆให้ระวังเนื้อที่มีเม็ดสาคู นั่นแหละจะเกิดขึ้นหากกินไข่ตัวตืดเข้าไป <br />2. พยาธิเค้าแรงจริง <br />อย่างพยาธิในเนื้อหมูป่าที่ว่า กินเข้าไปแล้วไชเข้ากล้ามเนื้อ <br />พยาธิตัวจี๊ดในปลา ไชได้ทั่วร่าง <br />พยาธิในตัวเงินตัวทองและเพื่อนพ้อง <br />พยาธิในหอยชนิดต่างๆ มีหลายชนิด ทั้งไชเข้าสมอง ตับ กล้ามเนื้อ <br />อย่างเร็ว ก็ไชแล้วตายหรือออกอาการ <br />อย่างช้าเช่นพวกพยาธิใบไม้ในตับ ไชไปไชมา เป็นมะเร็งในตับตายซะนี่ <br />เรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดก็ถือเป็ฯเรื่องเบาๆไว้สักวันนึงแล้วกันครับ <br />เพราะ ถึงทุกคนจะอ่านสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมด ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอกครับ รู้วงจรชีวิตหนอนพยาธิไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ป้องกันอะไรไม่ได้(อ่านสนุกๆแล้วกัน) <br />เอาเป็นว่าอ่านข้างล่างนี้ดีกว่าครับ <br />[u]<b>สิ่งที่อยากให้ได้ไป</b>[/b] <br />1. <b>กินอาหารให้สุกครับ พยาธิไม่ใช่alien เมื่อเจอความร้อนสูงๆนานๆก็ตายหมด</b> <br />แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจนะครับว่าต้องความร้อนสูง และต้องนาน ขอแค่100องศาสัก3นาทีติดต่อกัน <br />ไม่ใช่ร้อนแบบไข่ยังไม่กลายเป็นไข่ลวก <br /><b>และไม่ใช่ความร้อนแค่หมูกระทะพอสุก..... (ใครกินหมูกระทะแล้วทอดแค่เปลี่ยนสีล่ะก็เตรียมใจไว้เลย)</b> <br />2. อาหารรสจัดไม่ได้ฆ่าพยาธิ ผมเคยไปกินอาหารกับชาวอีสาน(รูมเมทน่ะแหละ เรียนป.ตรีด้วยกัน)กินลาบก้อย... มันบอกว่าสุก แต่พอกินเข้าไปคำแรกก็รู้เลยว่าดิบๆ ถามไปถามมา สุกในนิยามของมันคือ "เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มจัด" ...... นี่เป็นอีกสาเหตุกระมังที่คนไทยยังเป็นมะเร็งตับกันมาก(พยาธิใบไม้ในตับน่ะ) <br />3. คนที่เป็นโรคที่กดภูมิคุ้มกันชนิดต่างๆ ต้องระวังการติดพยาธิให้ดี... เพราะพยาธิหลายชนิดจะออกฤทธิ์แรงขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำ <br />พยาธิกลุ่มสตอรงจิลอยดิ์(แพทย์ไทยเรียกมันว่าสตองจิหลอย) ปกติก็เป็นพยาธิเชื่องๆในลำไส้ <br />แต่พอถึงคราว.. ภูมิต่ำ มันจะขยายกำลังบุกชอนไชเดินทางจากลำไส้ไปยังปอด...ถึงตายได้ <br />และยังมีอีกหลายชนิด <br />4. <b>ยาถ่ายพยาธิไม่ใช่ขนม อย่าไปซื้อเองบ่อยๆ และไม่ต้องไปขอหมอบ่อยๆครับ...</b> ถ้าจะกินก็ควรตรวจอุจจาระก่อน(ไม่ใช่แค่รู้สึกเพลียๆก็กินยาถ่ายพยาธิ) <br />วันนี้แค่นี้ล่ะครับ ไม่มีอะไรจะอวยพรนัก นอกจากขอให้ไม่โดนพยาธิขึ้นจนขึ้นหน้าหนึ่งแล้วกันครับ :) <br />โดย : หมอแมว <br />อีเมล์ : </a><a href="mailto:mor_kaew@hotmail.com">mor_kaew@hotmail.com</a> <br />วันที่ : 2005-05-24 00:01:05 <br />จากกระทู้   <br /><a href="http://www.mthai.com/webboard/7/101177.html">http://www.mthai.com/webboard/7/101177.html</a> </a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-20606505270547873232012-10-06T11:27:00.001-07:002012-10-06T11:27:27.024-07:00เชื้อคลอสตริเดียม บูโทลินัม ในหน่อไม้ปี๊บ โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ<p><img src="http://www.108health.com/108health/maintopic/mtopic_130.jpg" /></p> <p><b>         กรณีชาวบ้านกินหน่อไม้ปี๊บ ที่นำมาทำเป็นอาหารกลางวันเลี้ยงผู้ไปร่วมงานจนเกิดมีอาการปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน หายใจติดขัด นำส่งโรงพยาบาลจำนวนมาก โดยผู้ป่วยบางรายอาการหนักมาก ต้องได้รับการรักษาในห้องไอซียู </b></p> <p><strong><img border="0" hspace="5" alt="image" align="right" src="http://www.108health.com/108health/cimages/botulinum_002.jpg" width="140" height="120" /></strong>เพื่อ ทำการบำบัดเยียวยาช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ พบว่าสาเหตุของการป่วยเกิดมาจากการกินหน่อไม้อัดปี๊บที่มีเชื้อคลอสตริเดียม บูโทลินัม (Clostridium botulinum)</p> <p><strong>หากกรรมวิธีการผลิตไม่สะอาดพอ </strong>ผู้ บริโภคจะได้รับเชื้อและปรากฏอาการขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพิษของเชื้อโรคจะทำลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ</p> <p><strong>คลอสตริเดียม บูโทลินัม</strong></p> <p><strong>สำหรับเชื้อคลอสตริเดียม</strong>บูโทลินัมเป็น เชื้อแบคทีเรียที่สร้างสปอร์และเจริญได้ในสภาวะไม่มีออกซิเจน มีรูปร่างเป็นท่อน ติดสีแกรมบวก สร้างสปอร์รูปไข่อยู่ค่อนทางปลายเซลล์ เจริญได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 25-40 องศาเซลเซียสในสภาวะไม่มีออกซิเจน จากการย้อมสีพบว่าเป็นชนิดแกรมบวกทรงแท่ง รูปร่างตรงหรือโค้งเล็กน้อย เคลื่อนไหวได้ความกว้าง 0.5-2.0 ไมครอน ความยาว 1.6-22.0 ไมครอน ลักษณะเฉพาะคือพบสปอร์ทรงรีที่ส่วนท้ายใกล้ปลายเซลล์</p> <p><strong><img border="0" hspace="5" alt="image" align="left" src="http://www.108health.com/108health/cimages/botulinum_003.jpg" width="140" height="120" />มักพบในอาหารบรรจุปี๊บ</strong> อาหาร กระป๋อง เนื่องจากเป็นแบคทีเรียที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องชนิดที่มี ความเป็นกรดต่ำ เช่น อาหารหมักดองกระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง และไส้กรอก เป็นต้น</p> <p><strong>โดยทั่วไปพบเชื้อนี้ได้ในสิ่งแวดล้อม </strong>เช่น ดิน น้ำ ผัก เนื้อ นม ลำไส้ของปลา และสัตว์ทะเลอื่นๆ อาหารที่อยู่ในสภาพไร้ออกซิเจนและผ่านความร้อนไม่เพียงพอ เชื้อสามารถที่จะสร้างเกราะหุ้มเซลล์ที่เรียกว่า สปอร์</p> <p><strong>ซึ่งอาจปนเปื้อนในกรรมวิธี</strong>การผลิต การเก็บเกี่ยว หรือ ขั้นตอน การทำลายเชื้อเพื่อประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนไม่เพียงพอ สปอร์จะเจริญกลายเป็นเซลล์ มีการเพิ่มจำนวนและสร้างสารพิษได้เมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญ เติบโต เชื้อจะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าทุกๆ 20-30 นาที โดยเพิ่มจาก 1 เซลล์เป็น 2 เซลล์ ดังนั้นถ้าอาหารมีเชื้อปนเปื้อนเพียง 1 เซลล์ ภายในเวลา 10 ชั่วโมง เชื้อจะมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านเซลล์</p> <p><strong>เชื้อคลอสตริเดียมบูโทลินัมชนิดต่างๆ</strong></p> <p><strong>เชื้อคลอสตริเดียมบูโทลินัม</strong> พบได้ในดินและแหล่งน้ำทั่วโลก มี ทั้งหมด 7 ชนิด C. botulinum (A-G) ชนิดที่ร้ายแรงคือ types A, B, และ E สปอร์ของเชื้อนี้พบกระจายได้ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนผิวดิน ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อไม่มีแรง อ่อนเปลี้ย อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยมีอาการหายใจไม่ออก คลื่นไส้ อาเจียน เมื่อได้รับสารพิษชนิดนี้ จะเริ่มมีอาการเสียงเปลี่ยน กลืนลำบากและแขนขาอ่อนแรง ในปริมาณที่ใช้ในการทำสงครามชีวภาพอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากการได้รับเชื้อจากธรรมชาติ เช่น ที่เกิดจากการกินอาหารทีปนเปื้อนเชื้อ เป็นต้น</p> <p><strong><img border="0" hspace="5" alt="image" align="right" src="http://www.108health.com/108health/cimages/botulinum_005.jpg" width="180" height="207" />โดยทั่วไปเชื้อคลอสตริเดียม บูโทลินัม</strong>จะอยู่ตามดินและปนเปื้อนอาหารเข้าไป อีกส่วนหนึ่งพบได้ในบาดแผล เชื้อคลอสตริเดียมนี้จะตายเมื่อถูกความร้อนในน้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส นาน 30 นาทีขึ้นไป หากกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจะมีผลต่อระบบประสาท ทำให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อสูญเสียไป มีอาการตาพร่ามัว หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ตากระตุก กลืนลำบาก แขนขาอ่อนแรง หากเป็นที่กล้ามเนื้อกระบังลมซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบหายใจจะทำให้เกิดภาวะการหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ หากนำมาใช้ในสงคราม ผู้ที่ได้รับสารพิษชนิดนี้จะเสียชีวิตด้วยอาการหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตใน เวลาอันรวดเร็ว การทดลองในห้องปฎิบัติการพบว่าเมื่อให้สัตว์ทดลองสูดดมสปอร์สารพิษของเชื้อ นี้ อาการทางระบบทางเดินหายใจเกิดขึ้นทันทีทันใด และอาจเกิดผลในเวลาต่อมาได้อีกด้วย</p> <p><strong>อันตรายจากสารพิษ</strong></p> <p>การสร้างสารพิษของเชื้อคลอสตริเดียม บูโทลินัม มีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนปลาย โดยสารพิษจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและไปสู่เซลล์ของระบบประสาทส่วนกลาง สาร พิษออกฤทธิ์ที่ส่วนเชื่อมต่อระหว่างปลายประสาทกับกล้ามเนื้อ โดยจะไปสกัดการหลั่งสารสื่อประสาทชนิดอะซิทิลโคลีน หรือขัดขวางการสร้างอะซิทิลโคลีน ทำให้กระแสประสาทไม่สามารถผ่านจากประสาทสู่กล้ามเนื้อได้ จึงเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เป็นสาเหตุของการเกิดอัมพาต ถ้าเกิดอัมพาตของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจส่งผลทำให้ระบบการหายใจล้ม เหลวซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้</p> <p><strong>หน่อไม้อัดปี๊บ</strong></p> <p><strong><img border="0" hspace="5" alt="image" align="left" src="http://www.108health.com/108health/cimages/botulinum_004.jpg" width="140" height="120" />สำหรับหน่อไม้อัดปี๊บ</strong>ที่ พบการปนเปื้อนของสารพิษต่อระบบประสาท คาดว่าสาเหตุมาจากหน่อไม้ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ อาจมีการปนเปื้อนด้วยสปอร์ของเชื้อคลอสตริเดียมบูโทลินัม ซึ่งในขั้นตอนการผลิตอาจให้ความร้อนที่ไม่ทั่วถึงทำให้ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อได้ การต้มในขณะผลิตจะช่วยไล่ออกซิเจนออกจากปี๊บ หลังจากทำการปิดปี๊บจะทำให้ สภาวะภายในปี๊บอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน จึงเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสปอร์และกลายเป็นเซลล์ที่มีชีวิตสร้างสารพิษ ต่อระบบประสาทปนเปื้อนในหน่อไม้นั่นเอง</p> <p><strong>อาการของโรค</strong></p> <p><strong>เนื่องจากเชื้อสามารถสร้างสารพิษ</strong>ที่มีผลต่อการทำลายระบบประสาท หากบริโภคอาหารที่มี สารพิษชนิดนี้ปนเปื้อนเพียงหนึ่งไมโครกรัม จะทำให้เกิดอาการป่วยที่เรียกว่า "botulism” ซึ่งมีลักษณะอาการ คือ อาการ กลืนลำบาก และพูดไม่ชัด อาการปากแห้ง หนังตาตก เสียงแหบ แขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เจ็บคอ เห็นภาพซ้อน ปวดท้อง และอุจจาระร่วง หน้ามืด เป็นอัมพาต หายใจขัด และเสียชีวิตเนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว อาการจะเกิดภายใน 12-36 ชั่วโมง หลังการบริโภคอาหาร และอาจเสียชีวิตภายใน 3-6 วัน</p> <p><strong>แนวทางการรักษา</strong></p> <p><strong>เนื่องจากสารพิษจะออกฤทธิ์ภายในเวลาอันรวดเร็ว</strong> การ รักษาจำเป็นต้องใช้ยาแก้พิษ antitoxin ที่เฉพาะเจาะจงและทันท่วงที การใช้ยาแก้พิษต้องให้ก่อนที่จะเริ่มมีอาการทางระบบประสาทที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามหากไม่ทันก็ยังจำเป็นต้องให้ยาเพื่อบรรเทาความรุนแรงของพิษที่ เกิดขึ้น มีการคาดประมาณกันว่าในการก่อการร้ายหรือทำสงครามอาวุธชีวภาพ ปริมาณสารพิษ botulinum toxin ชนิดพ่นเพียงหนึ่งกรัม สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้ถึง 1.5 ล้านคน</p> <p><a href="http://www.bangkokhospital.com/thai/finddoctor/doctor_sche.asp?DrID=350&name=%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B4&surname=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4"></a><a href="http://www.bangkokhospital.com/thai/finddoctor/doctor_sche.asp?DrID=350&name=%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B4&surname=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4"><img border="0" hspace="5" alt="image" align="left" src="http://www.108health.com/108health/cimages/voravouth.jpg" width="34" height="40" /></a></p> <p><strong></strong> <p><a>ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ</a> <br /><a href="http://www.bangkokhospital.com/tha/">ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ</a></p></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-40209972228242785142012-09-30T03:30:00.000-07:002012-09-30T03:30:00.432-07:00โคเอ็นไซม์คิวเท็น (CoQ10) เพื่อสุขภาพหัวใจและผิว<p><img style="display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px" align="left" src="http://www.108health.com/108health/maintopic/mtopic_493.jpg" width="239" height="292" /></p> <p><b>   ประโยชน์หลักที่ได้จากโคเอ็นไซม์คิวเท็นได้แก่ การผลิตพลังงานในระดับเซลล์และการมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่มี ประสิทธิภาพสูง </b> <br />เสริมสร้างพลังงานระดับเซลด้วยโคเอนไซม์คิวเท็น(CoQ10) เซลล์ (Cell) เป็นโครงสร้างที่สำคัญมากที่สุดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่สุด เช่น แบคทีเรียไปจนกระทั่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งแต่ละเซลล์มีองค์ประกอบและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยการนำสารอาหารเข้าไปและเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นพลังงานเพื่อความอยู่ รอดของเซลล์นั้น ๆ ในการสร้างพลังงานนั้นจะเกิดขึ้นบริเวณเซลล์ในส่วนที่เรียกว่า “ไมโตครอนเดรีย” ดังนั้นถ้าเซลล์ได้รับพลังงานไม่เพียงพอก็จะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ ตัวอย่างเช่น หากเซลล์หัวใจไม่ได้รับพลังงาน หัวใจก็ไม่สามารถที่จะทำงานได้ตามปกติ หรือหากเซลล์ผิวหนังไม่มีพลังงานก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ดังนั้นพลังงานระดับเซลล์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเรา เมื่อเรามองเห็นถึงความสำคัญของพลังงานระดับเซลล์แล้วก็จะเกิดคำถามว่าแล้ว เราจะทำให้มีการผลิตพลังงานระดับเซลล์ได้อย่างสมบูรณ์อย่างไร ซึ่งคำตอบคือ “การได้รับโคเอ็นไซม์คิวเท็น” มหัศจรรย์สารโคเอ็นไซม์คิวเท็น (CoQ10) โคคิวเท็นหรือ โคเอ็นไซม์คิวเท็น หรือยูบิควินโนนเป็นสารอาหารที่มีหลายชื่อแต่เป็นชนิดเดียวกัน โคเอ็นไซม์คิวเท็นมีคุณสมบัติที่ละลายได้ดีในน้ำมันและเป็นสารที่มีลักษณะ เหมือนกับวิตามิน พบได้บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหมด ในนิวเคลียสและไมโตครอนเดรียของเซลล์ โดยเฉพาะอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานในระดับสูงเช่น หัวใจและสมอง โดยปกติร่างกายเราสามารถผลิตโคเอ็นไซม์คิวเท็นได้เพียงเล็กน้อย แหล่งอาหารที่พบโคเอ็นไซม์คิวเท็น เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาแซลมอน ถั่วลิสง ปลาซาร์ดีน กจากนี้ยังพบว่าหลังจากอายุ 20 ปี ปริมาณของโคคิวเท็นจะลดลงตามลำดับและจะลดลงอย่างเฉียบพลันหลังจากอายุ 50 ปี ประโยชน์หลักที่ได้จากโคเอ็นไซม์คิวเท็นได้แก่ การผลิตพลังงานในระดับเซลล์และการมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่มี ประสิทธิภาพสูง งานวิจัยหลายฉบับพบว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของโรคหัวใจนั้นมักจะมีระดับของโคเอ็นไซม์ คิวเท็นที่ค่อนข้างต่ำ โดยทีมงานนักวิจัยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโคเอ็นไซม์คิวเท็นต่อผู้ที่เป็น โรคหัวใจว่า โคเอ็นไซม์คิวเท็นจะไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจและทำ ให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้โคเอ็นไซม์คิวเท็นยังช่วยยับยั้งขบวนการทำลายโมเลกุลของไขมัน LDL โดยอนุมูลอิสระ ส่วนประโยชน์รองลงของโคคิวเท็นนั้นก็มีมากมาย เช่น ช่วยเสริมสร้างสารต่อต้านอนุมูลอิสระแบบเครือข่าย (Antioxidant Network) ให้มีความสมบูรณ์ขึ้น กล่าวคือ โคคิวเท็นจะช่วยฟื้นฟูให้วิตามินอีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับผิวพรรณเป็นพิเศษ โคเอ็นไซม์คิวเท็นจะช่วยส่งเสริมการผลิตพลังงานระดับเซลล์และป้องกันอนุมูล อิสระให้กับผิวจึงส่งผลให้ผิวพรรณดูเปล่งประกาย ริ้วรอยน้อยลงและดูอ่อนเยาว์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของโคเอ็นไซม์คิวเท็นแล้วจึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า การได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์คิวเท็นก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อสุขภาพของร่างกายและหัวใจที่ดี </p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-86549265858739592192012-09-30T03:20:00.000-07:002012-09-30T03:20:00.596-07:00อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ<p><b>  <img style="display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px" align="left" src="http://www.108health.com/108health/maintopic/mtopic_492.jpg" />งานวิจัยหลายฉบับพบว่า เด็กที่ไม่รับประทานอาหารเช้านั้นจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้และจดจำ น้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้าทุกวัน และข้อดีอีกประการหนึ่งของการรับประทานอาหารเช้าคือ จะช่วยเพิ่มปริมาณการเผาผลาญอาหารให้กับร่างกายอย่างเป็นปกติและมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</b></p> <h3>อาหาร เช้าสำคัญ “อาหารเช้า” ในภาษาอังกฤษคือ “Breakfast” ซึ่งเป็นคำที่เกิดจากการประสมคำระหว่าง คำว่า Break กับ Fast มารวมกัน ซึ่งถ้ารวมกันแล้วความหมายก็คือ “เลิกอด” </h3> <p>จะเห็น ว่ามีความหมายโดยนัย นั่นก็คือเนื่องมาจากเราอดอาหารมาจากช่วงกลางคืนมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นเราจึงความจะรับประทานอาหารได้แล้วนั่นคือความหมายจริง ๆ ของคำว่า Breakfast แต่ปัจจุบันผู้คนนิยมบริโภคอาหารเช้าน้อยลง</p> <h4>ด้วย เหตุผลต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเร่งด่วนที่จะต้องออกจากบ้านเพราะกลัวรถติดแล้วจะไปทำ งานสาย กลัวว่าลูกจะออกไปลงเรียนไม่ทัน รวมถึงเหตุผลที่หลายท่านคงเคยพูดถึง นั่นก็คือ ฉันต้องการที่จะลดน้ำหนักตัว ดิฉันจึงจำเป็นต้องอดอาหารเช้า </h4> <p>ซึ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อ ที่ผิดมาก เนื่องจากเมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ในขณะที่เราลุกขึ้นเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ เราจะรู้สึกหิว ศูนย์ที่ควบคุมความหิวบริเวณสมองจะสั่งให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมา เพราะร่างกายต้องการพลังงาน หากเรายังไม่เติมพลังงานให้กับร่างกาย หรือยังไม่กินอาหารเช้า ร่างกายจึงต้องไปดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ที่สะสมไว้ในกล้ามเนื้อและตับ ซึ่งร่างกายเก็บเป็นเสบียงไว้ใช้ในยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ</p> <p>แต่ ไม่นานนักพลังงานส่วนนี้จะถูกใช้จนหมดไปเพราะไม่มีใหม่มาเติม ดังนั้นจะเห็นว่ากระบวนการอดอาหารในตอนเช้านั้นไม่มีขั้นตอนไหนเลยที่เกี่ยว พันกับการดึงเอาพลังงานจากไขมันซึ่งเป็นพลังงานที่เราต้องการกำจัดออกไปใช้</p> <h5>จริง อยู่หลายท่านอาจจะเห็นว่าการอดอาหารนั้นน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วใน ระยะเวลา 2-3 วัน แต่น้ำหนักที่หายไปนั้นเป็นเพียงแค่การหายไปของส่วนที่เป็นน้ำและมวลกล้าม เนื้อหาใช่ส่วนที่เป็นไขมัน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายฉบับกล่าวว่า </h5> <p>เด็ก ที่ขาดการรับประทานอาหารเช้านั้นจะมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และจดจำ น้อยกว่าในเด็กที่รับประทานอาหารเช้าทุกวันและข้อดีอีกประการหนึ่งของการรับ ประทานอาหารเช้าคือ จะช่วยเพิ่มปริมาณการเผาผลาญอาหารให้กับร่างกายอย่างเป็นปกติและมี ประสิทธิภาพ จะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากการอดอาหารเช้านั้นมีมากมายและเกี่ยวเนื่องกัน</p> <p>แต่ ปัญหายังไม่จบเพียงแค่นั้น จากการสำรวจจากโรงพยาบาลพบว่าผู้ที่อดอาหารเช้านั้นจะมีโอกาสเป็นโรคกระเพาะ เมื่อมีอายุสูงขึ้นมากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเมื่อเราอยู่ในภาวะที่หิวเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง สมองจะเป็นส่วนรับรู้แล้วส่งคำสั่งไปยังกระเพาะให้เตรียมตัวทำงานโดยการ เตรียมผลิตน้ำย่อยซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรด</p> <p>ถ้าร่างกายไม่มีอาหารใน กระเพาะแล้วน้ำย่อยที่หลั่งออกมาก็จะทำการย่อย ผนังกระเพาะเสียเอง ซึ่งเมื่อถูกย่อยเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้</p> <p>ดัง นั้นเมื่อเรารู้ถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารเช้าแล้ว เราก็ควรที่จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ตัวอย่างอาหารเช้าที่แนะนำเช่น ซีเรียลทั้งชนิดอบกรอบและชนิดแท่ง นมสดขาดมันเนย ข้าวต้มปลา โจ๊ก ขนมปังโฮลวีท ผลไม้สดและโปรตีนเชค เป็นต้น</p> <p><a title="http://www.108health.com" href="http://www.108health.com">http://www.108health.com</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-36709111251609705882012-09-30T03:09:00.001-07:002012-09-30T03:09:00.672-07:00วิตามินซี กับการดูดซึมและนำไปใช้ของร่างกาย โดย : Kris141<p><img style="display: inline; margin-left: 0px; margin-right: 0px" align="left" src="http://www.108health.com/108health/maintopic/mtopic_490.jpg" /><b>จากการศึกษาพบว่าการดูดซึมของวิตามินซีจะขึ้นอยู่กับขนาดของวิตามินซีที่รับประทาน</b> <br />วิตามินซีเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองดังนั้นจึงจำเป็น ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น แหล่งอาหารที่พบวิตามินซีส่วนใหญ่จะพบได้ในผลไม้โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรส เปรี้ยว เช่น ส้ม ผลอะเซโรล่า เชอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะขามป้อม เป็นต้น ส่วนในผักในผัก เช่น ผักโขม คะน้า บล็อคโคลี่ วิตามินซีจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่สลายตัวได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับ น้ำ อากาศ และความร้อน ดังนั้นในผลไม้ที่ผ่านการแปรรูปเช่น ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ปริมาณของวิตามินซีแทบจะหลงเหลืออยู่น้อยมาก ดังนั้น จึงควรรับประทานผัก ผลไม้ที่ใหม่ สด เพื่อให้ได้ปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ประโยชน์ที่ได้จากวิตามินซี - เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย - ส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม - เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) - จำเป็นต่อกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจน - จำเป็นต่อการสร้าง carnitine ซึ่งเป็นสารอาหารเพื่อการขนส่งกรดไขมันเข้าสู่ไมโตครอนเดรียเพื่อให้เกิดการ เผาผลาญพลังงาน - จำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน วิตามินซีกับการดูดซึมและนำไปใช้ วิตามินซีจะถูกดูดซึมบริเวณลำไส้เล็กและจะถูกส่งต่อไปยังเนื้อเยื่อและน้ำใน ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทางกระแสเลือด จากรศึกษาพบว่าอัตราการดูดซึมวิตามินซีจะลดลงเมื่อมีการรับประทานในขนาดที่ มากเกิน กล่าวคือ - หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากกว่า 12 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 16% - หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณ 1.5-3.0 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 36-49% - หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณ 1.0-1.5 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 50% - ในขณะที่รับประทานวิตามินซีในปริมาณน้อยกว่า 20 มิลลิกรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 98% ดังนั้นการดูดซึมของวิตามินซีจะดูดซึมได้ดีในปริมาณที่น้อยกว่า 1,000 มิลลิกรัม นอกจากนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดูดซึม การได้รับสารอาหารจำพวกซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมของวิตามินซีอีกด้วย และเพื่อให้ได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอควรหลีกเลี่ยงการรับประทานควบ คู่กับเพคตินและสังกะสีในปริมาณที่สูง เอกสารอ้างอิง: 1. Groff, J.L., Gropper S.S., and Hunt S.M. The Water Soluble Vitamins. In: Advanced Nutrition and Human Metabolism. Minneapolis: West Publishing Company, 1995, p. 222-237.</p> <p><a title="http://www.108health.com" href="http://www.108health.com">http://www.108health.com</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-55059589633557320252012-08-27T13:32:00.002-07:002012-08-27T13:32:15.975-07:00รถแบบไหนนะที่เหมาะกับผู้หญิงที่สุด<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://www.weloveshopping.com/shop/suwannachard_6/Car04.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="240" id="il_fi" src="http://www.weloveshopping.com/shop/suwannachard_6/Car04.jpg" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="320" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">CAR FOR LADY</td></tr>
</tbody></table>
ถ้าจะถามกันว่ารถแบบใหนที่เหมาะกับผู้ชายที่สุด<br />
หลายคนคงจะมีคําตอบอยู่ในใจหลากหลายข้อด้วยกัน<br />
เพราะต่างคนก็ต่างมีความชอบแตกต่างกัน บางคนชอบรถเก๋งเอาไว้ใช้งานหนักๆ<br />
<br />
บางคนชอบรถสปอร์ต เปิดประทุน นั่งแล้วสาวๆ ชอบ ไปใหนมาใหนสะดวก <br />
หรือบางคนอาจจะชอบ รถแบบลุยๆ สามารถบุกป่าฝ่าดงไปใหนต่อใหนได้<br />
<br />
แล้วถ้าเป็นผู้หญิงละครับ รถแบบใหนเหมาะกับพวกเธอ เรามาฟังความคิดเห็นของผู้หญิงกันว่าชอบรถแบบใหนกันครับ <br />
คําถามของผู้หญิงคนหนึ่ง<br />
<br />
<br />
<br />
“เป็นมือใหม่ค่ะก็เลยจะซื้อรถคันใหม่ไว้ใช้ส่วนตัวแต่ตัดสินใจไม่ถูกค่ะ ระหว่างรถประเภทซีดานกับรถ5ประตูมี ข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร แล้วรถ5ประตูเวลาชนท้ายจะถึงเบาะหลังมั้ยคะ แล้วแบบไหนที่เหมาะกับ ผู้หญิงใช้มากกว่ากัน ส่วนตัวชอบรถสปอร์ท แต่ก็ลังเลถึงประโยชน์ของรถเอนกประสงค์ แต่ก็ไม่ทราบ ระบบการขับขี่ว่าแบบไหนดีกว่ากัน”<br />
<h4>
คำตอบ</h4>
<br />
ถ้าใจชอบรถสปอตส์อยู่แล้วก็ควรเลือกซื้อรถยนต์แบบซีดานครับ เพราะจะได้อารมณ์ของรถแบบสปอตส์มากหน่อย รถซีดานภายในจะได้พื้นที่ใช้สอยแคบกว่า ที่เก็บสัมภาระจะถูกแบ่งไปไว้กระโปรงท้ายเพื่อเปิดใช้ได้โดยไม่ปะปนกับ พื้นที่ภายในเก๋ง ส่วนรถยนต์แบบห้าประตูจะทำให้พื้นที่ใช้สอยภายในกว้างขวางขึ้นเพราะเอาเพื้น<br />
<br />
<br />
ที่เก็บสัมภาระภายนอกมารวมไว้ภายในเก๋งเดียวกันก็จะเป็นความสะดวกไปอีกแบบ<br />
แต่ถ้ากลัวเรื่องชนหรือถูกกระแทกแบบซีดานย่อมเซฟกว่าเพราะทั้งหัวและท้ายจะ<br />
ช่วยปกป้องการเข้าประชิดจากการชนถึงตัวผู้โดยสารได้ยากกว่าแน่นอน<br />
<br />
แต่ถ้าถามว่าแบบไหนจะเหมาะกับผู้ขับขี่ที่เป็นสุภาพสตรีล่ะก็ <br />
ผมขอแนะนำว่าแบบห้าประตูจะเหมาะสมที่สุดครับเพราะทุกอย่างจะอยู่ภายในเก๋ง<br />
คุณผู้หญิงไม่ต้องลำบากออกมาเปิดกระโปรงท้ายให้เสียอารมณ์จะปลอดภัยและเป็น<br />
ส่วนตัวที่ดีกว่าครับ ทั้งหมดจะอยู่ที่ใจชอบของคุณเองและเทรนความนิยมในแต่ละช่วงเวลาของตลาดรถ ยนต์มากกว่าครับ<br />
<br />
ถ้ามีคําแนะนําที่ดี ก็สามารถบอกกันได้ครับ เผื่อจะเปนตัวเ ลือกที่ดี<br />
ที่ผู้หญิงจะนําไปเลือกซื้อรถที่ตัววเองชอบได้ครับ sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-68232878469935641872012-08-25T03:34:00.001-07:002012-08-25T03:34:11.678-07:00ต่อมอะไรของคุณทำงานไวสุด?ขําๆนะครับ<h3>ต่อมอะไรของคุณทำงานไวสุด?</h3> <p>“ต่อมความรู้สึก จะจับความรู้สึกคนอื่นไวค่ะ คือรู้ว่าเค้า โกรธ เกลียด ชอบ อะไรประมาณนี้ค่ะ <br />(ไม่ได้คิดเองแต่เป็นคนช่างสังเกต) ส่วนตัวเองก็เก็บความรู้สึกเก่งมาก (จริงๆไม่ได้โม้นะ คริคริ)”</p> <p> </p> <p>“ของเรา..ต่อมขี้สงสาร..... ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเยอะแยะ..ทานยาลดต่อมก็ไม่หาย.. <br />หาสถานที่บำบัดอยู่เนี๊ยะ..ว่าจะไปถ้ำกระบอกก็ไม่ตรงกับอาการ..จะไปศรีธัญญาเขาก็ <br />ไม่รับ..เฮ่อ!..เซ็งต่อม!!”</p> <p> </p> <p>“ต่อมหมั่นไส้ ไงครับ <br />เข้ารู้รอบนี่บางทีพุ่งจี๊ดเลย <br />ต้องระงับด้วยการไล่แจก ทิ่มลง สักชุดสองชุด <br />ซึ่งอาจพลาดไปโดนคนขี้สงสัย หรือขี้แยบ้าง <br />อภัยให้ด้วยก็แล้วกันนะ <br />เล็กๆน้อยๆ คนละตุ๊บ สองตุ๊บ”</p> <p> </p> <p>“ต่อมขี้เกืยจ และ ต่อมขยัน นี่ของผมนะเนี่ย มันจะอยุ่เวลาไหนไม่แน่นอนต่อมน้ำลายเช่นกัน มีมาตลอดแต่แทบจะไม่เคยบ้วนทิ้ง ได้แต่กลืนลงคอ โดยเฉพาะตอนทานอาหาร”</p> <p>“</p> <p>“ต่อมน้ำตาครับสงสัยโดนทอดทิ้งบ่อยๆเศร้าจัง แง แง แง”</p> <p> </p> <p>“ต่อมความคิดถึง ทำงานไวที่สุดแค่นึกถึงเท่านั้น พุ่งปรู๊ด เร็วกว่าจรวตเสียอีก <br />ถ้าต่อมขี้สงสัยมีมาก ต่อมน้ำตาก็จะตามมาเพราะมันเป็นเพื่อนกัน”</p> <p> </p> <p>“ต่อมหิว หิวตลอด ปากมันอยากกินไปซะทุกอย่าง <br />เลยพาให้ต่อมอ้วนทำงานหนักไปด้วย”</p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9208626802713546695.post-48831544637602103022012-08-25T03:26:00.001-07:002012-08-25T03:26:35.991-07:00คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือไม่?<p>มะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมามากมายในแต่ละปี ถ้าไม่รวมจํานวนคนทั่วโลกที่ตายเพราะโรคมะเร็ง</p> <p>แล้วจํานวนผู้ที่เสียชีวิตถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ </p> <p>อาการของมะเร็งปากมดลูก</p> <p>มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกจะไม่มีอาการอะไร แต่เมื่อเป็นมะเร็งแล้วจะมีอาการเลือดออกหลังจากการตรวจภายใน หรือหลังร่วมเพศ หรือมีตกขาว <br />•มีเลือดออกผิดปกติ เช่นเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธุ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือนแล้ว เลือดออกเป็นระยระยะ ประจำเดือนมานานผิดปกติ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน <br />•มีอาการตกขาวซึ่งอาจจะมีเลือดปน <br />•มีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ <br />ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก <br />ปัจจัยเสี่ยงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงใดใดที่เกิดขึ้นแล้วทำให้มีโอกาสเป็น มะเร็งเพิ่มขึ้น มะเร็งแต่ละชนิดจะมีปัจจัยเสี่ยงต่างกัน ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลุกได้แก่ <br />•การติดเชื้อ HPV หรือการเป็นหูดที่อวัยวะเพศ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิดมะเร็งปากมดลุก <br />•การสูบบุหรี่ ของการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึนสองเท่า <br />•การรับประทานยาคุมกำเนิด <br />•ระบบภูมิคุ้มกันของคุณสุภาพสตรี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดีจะทำให้เกิดโอกาสติดเชื้อ HPV ได้ง่ายจึงมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลุกเพิ่มขึ้น <br />•การติดเชื้อ Chlamydia พบว่าผู้ที่ติดเชื้อ Chlamydia ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงขึ้น <br />•อาหาร ผู้หญิงที่รับประทานผักและผลไม้น้อยจะมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่าคนที่รับประทานผักและผลไม้ <br />•ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดมาเป็นระยะเวลานานจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก <br />•การมีบุตรหลายคนเชื่อว่าจะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น เชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอรฺโมนทำให้ติดเชื้อ HPV ง่าย และขาดการป้องกันการติดเชื้อ <br />•ผู้ที่มีเศรษฐานะต่ำเนื่องจากเข้าถึงบริการไม่ทั่วถึง <br />•ผู้ที่ได้ยา Diethylstilbestrol (DES) เพื่อป้องกันแท้ง <br />การวินิจฉัย <br />จากการทำ pap test ทำให้ทราบว่ามีเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูกแพทย์จะทำการตรวจ Colposcopy โดยการส่องกล้องแล้วเอา iodine ป้ายบริเวณปากมดลูก เซลล์ปกติจะเป็นสีน้ำตาล ส่วนเซลล์ผิดปกติจะเป็นสีขาวหลังจากนั้นแพทย์จะเอาชิ้นเนื้อปากมดลูกไปตรวจ ซึ่งมีวิธีตรวจต่างๆตามแต่แพทย์จะเห็นสมควร <br />ไงคุณก็พาภรรยาสุดที่รักไปตรวจ และให้แพทย์วินิจฉัยดีกว่านะครับ</p> <h5>ที่มา:</h5> <p><a href="http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/cancer/cervixcancer.htm">http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/cancer/cervixcancer.htm</a></p> sujatehttp://www.blogger.com/profile/15320498895114529283noreply@blogger.com0