ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารที่คนเป็นมะเร็งควรหรือไม่ควรกิน

ปัจจุบัน มีฟอร์เวิร์ดเมล์มากมาย หรือผู้หวังดีจำนวนมากที่พูดถึงเรื่องการใช้ผลไม้ อาหาร การปฏิบัติตัว เพื่อรักษาหรือป้องกันมะเร็ง หลายฉบับใช้รูปแบบเดียวกันออกมาหลายๆครั้ง สร้างความเชื่อความหวังให้กับผู้ป่วย
ปัญหาหนึ่งคือ ความเชื่อและความหวังเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทั่วๆไปมักไม่มีปัญหาอะไร แต่ในหลายครั้ง การแนะนำบางอย่างจะมีข้อขัดแย้งกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ยังความลำบากใจทั้งแก่ตัวคนไข้ ญาติ และคนที่แนะนำ
หลายครั้ง ผู้ที่หวังดี แนะนำสิ่งที่ขัดกับการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือสิ่งที่อ้างว่าเป็นองค์ความรู้ใหม่ ... เกิดความขัดแย้งขึ้นมาว่าตกลงที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่แนะนำ เกิดจากอะไร
เป็นเพราะไม่ได้ผลจริง ... หรือเป็นเพราะหมอโง่ดูถูกความรู้พื้นบ้าน หรือไม่ตามอัพเดทความรู้ใหม่ๆ
วันนี้ผมจะพูดในแต่ละเรื่องที่มีคนถามมามากในช่วง 1-2ปีที่ผ่านมาครับ ขอพูดในภาษาธรรมดาพื้นฐานแบบที่คนไม่มีพื้นทางการแพทย์ก็น่าจะรู้เรื่อง (บอกไว้ก่อนเผื่ออาจารย์หมอมะเร็งในห้องนี้มาเห็น .... )

 

1. การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัด จะทำให้ผู้ป่วยแย่ลง
ความเชื่อนี้มาจากการที่ว่าผู้ป่วยหลายคนที่เป็นมะเร็ง เมื่อได้รับการรักษาด้วยวิธีต่างๆแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือบางครั้งแย่ลงหรือเสียชีวิตขณะกำลังทำการรักษา
ปัญหาคือความเชื่อนี้เป็นอันตรายมาก เพราะเป็นความเชื่อเบื้องต้นที่ก่อให้เกิดเรื่องการไม่รับการรักษาและหลุดจากวงจรที่จะหายจากโรค
ผมขออธิบายหลักการของการรักษาแต่ละอย่างก่อนเพื่อความเช้าใจที่ตรงกัน
การรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัดมีหลักการของแต่ละตัวคือ
- เคมีบำบัด หลักการคือ เซลล์มะเร็งมักจะเป็นเซลล์ที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเซลล์ปกติ และจะมีการแบ่งตัวมากอย่างผิดปกติ ดังนั้นการจะฆ่ามันด้วยยาเคมีบำบัด จึงแบ่งเป็นสองพวก
หนึ่ง เคมีบำบัดดั้งเดิม : จะมุ่งเป้าจัดการที่เซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็ว ... เพราะเซลล์ส่วนมากในร่างกายมักไม่แบ่งตัว เซลล์มะเร็งแบ่งตัวเร็ว ดังนั้นการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวก็จะทำให้เซลล์มะเร็งที่กำลัง แบ่งตัวเกิดการแบ่งตัวผิดพลาดและตายไปได้ ... ปัญหาคือร่างกายเรามีเซลล์ที่ปกติแต่แบ่งตัวเร็วอีกหลายที่ เช่น เซลล์ในปาก รากผม หรือลำไส้ พวกนี้แบ่งตัวได้ในช่วง 3วัน5วัน ดังนั้นคนที่ให้เคมีบำบัดหลายคนก็จะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนผมร่วงได้เพราะ เซลล์ที่โดนไม่ได้มีแต่เซลล์มะเร็ง

สอง เคมีบำบัดแบบใหม่ : ในยุค 15 ปีที่ผ่านมา มีการคิดค้นยาที่ลงไปลึกถึงเซลล์มะเร็งแต่ละชนิด โดยเลือกยับยั้งหรือทำลายเฉพาะเซลล์ที่มีความจำเพาะต่อมะเร็งนั้นๆ โดยมีชื่อเรียกรวมๆว่า Targeted Therapy ข้อดีคือรักษามะเร็งได้จำเพาะมากๆ ผลข้างเคียงมักจะต่ำกว่ายาเคมีรุ่นดั้งเดิม ข้อเสียคือราคาแพงมหาโหดในหลายๆตัว  .... (ยาในกลุ่มนี้มักมีชื่อลงท้ายด้วยหนีบหรือแหนบ)

-การฉายแสงก็ใช้หลักการเดียวกับการให้เคมีบำบัดแบบดั้งเดิม คือทำลายเฉพาะเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วเป็นหลัก ... ก็จะเกิดอาการข้างเคียงได้ถ้าไปฉายในจุดที่เสี่ยง เช่น ไปฉายแถบช่องท้อง ก็อาจจะมีถ่ายเป็นเลือด ฉายโดนหน้า ก็จะมีปากแห้งคอแห้งปากลอกเป็นแผลได้
แม้หลักการเบื้องต้นจะเหมือนกัน แต่ความแตกต่างของการฉายรังสีกับการใช้เคมีก็คือ การใช้เคมีบำบัด เคมีก็ไปทั่วร่างกายเหมาะกับมะเร็งที่ไปหลายตำแหน่ง  แต่การฉายแสงจะจำกัดใน วงแคบๆเท่าที่ต้องการได้ เหมาะกับมะเร็งที่อยู่ในที่ตั้งเดี่ยวๆ
-การผ่าตัด การผ่าตัดมักใช้ในการยกเอาดุ้นมะเร็งออกไปทั้งดุ้น  เหมาะกับการกำจัดมะเร็ง ทั้งก้อนออกไป โดยถือหลักว่า ถ้ายกออกไปได้ทั้งหมด ก็สามารถรักษาจน”หายขาด” ได้ ...
ที่หายขาดได้ เพราะว่า มะเร็งก็คล้ายกับเชื้อโรค ... การใช้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง ก็ยังมีโอกาสที่จะมีมะเร็งบางส่วนดื้อ ... อาจจะยุบในตอนแรกแล้วจากนั้นก็จะไม่ตอบสนองกับยาและการฉายแสง แต่การผ่าตัด ตัดออกมาแล้วจับมันโยนทิ้งเข้าเตาเผา ... ถ้ามะเร็งมันยังรอดได้ก็คงจะอำมหิตเกินไป
ในบางกรณี การผ่าตัดมะเร็งจะไม่ได้ทำเพื่อการรักษา แต่ทำเพื่อลดขนาดมะเร็ง(ตัดกำลังมันก่อนบอมบ์ด้วยเคมีบำบัด) หรือบางกรณีทำเพื่อเอาชิ้นเนื้อออกมาเพื่อหาว่าเป็ฯชนิดไหน (จับมาเค้นคอถามจุดอ่อน แล้วเอาเคมีไปบอมบ์)

ฝรั่งเองก็เชื่อแบบนี้เมื่อ 20 ถึง 30 ปีก่อนสมัยที่เคมีบำบัดเพิ่งจะแสดงให้เห็นว่าการให้ดีกว่าไม่ให้ ข้อมูลขณะนั้นพบว่าสามารถเพิ่มโอกาสหาย หรือ เพิ่มระยะเวลารอดชีวิตในคนที่ไม่มีทางหาย อย่างไรก็ตามเกิดคำถามว่า "ระยะเวลาที่รอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นต้องแลกด้วยความทรมานจากเคมีบำบัดหรือ เปล่า" นำไปสู่งานวิจัยที่เปลี่ยนจากใช้อัตราหรือระยะเวลารอดชีวิตเป็นคุณภาพชีวิต แทน
ผลการศึกษานั้นน่าแปลกใจมากที่พบว่า แท้จริงแล้วเคมีบำบัดทำให้คนไข้แข็งแรงกว่า มีอาการน้อยกว่า ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเราลืมไปว่าการที่มะเร็งลุกลามนั้นก่อให้เกิดอาการ ที่มากกว่า แย่กว่าเคมีบำบัดเสียอีก ยาบาฝตัวแม้ไม่ได้ทำให้คนไข้อยู่ได้นานขึ้นแต่ถ้าลดอาการได้ก็ได้รับการ อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนได้แล้วครับ

2. การผ่าตัดทำให้มะเร็งลาม
มีส่วนที่จริงและไม่จริง ... แต่ประเด็นคือ ถ้าผ่าแล้วทำให้ตายไวขึ้น ไม่มีหมอที่ไหนอยากจะเหนื่อยฟรีหรอกครับ
ประเด็นคือ หลายคนมีก้อนที่ไม่รู้ที่มา พอไปเจาะเอามาตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง จากนั้นอาการก็หนักลงเรื่อยๆ  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
-    เจาะเนื้อ ทำให้เซลล์มะเร็งซึ่งเดิมรวมกลุ่ม แยกออกจากที่ตั้ง  เปลี่ยนจากระยะที่ไม่แพร่กระจายกลายเป็นลามออกมา จากระยะที่ 1 กลายเป็นระยะที่ 2  ... เหตุการณ์นี้เป็นตัวที่ต้องระมัดระวัง และทำให้เวลาเรียน จะมีก้อนในบางตำแหน่งที่แพทย์ต้องระวังในการเจาะ (เช่นก้อนที่คอที่สงสัยว่าติดเชื้อหรืออักเสบไหม ... จริงๆเจาะก็ได้ แต่ถ้าไม่ชัวร์เรื่องมะเร็งก็ต้องผ่าไปเลย)
-    มะเร็.ที่มีก้อนบางชนิดเป็นกลุ่มมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ... มะเร็งเหล่านี้ ถ้ามีก้อนที่คลำได้ มักจะมีขึ้นแล้วหลายตำแหน่ง ไม่ใช่ตำแหน่งเดียว ... พอมาตัดไปตรวจก้อนอื่นๆที่ทยอยขึ้นทีหลังเลยทำให้เข้าใจผิดว่าเจาะผ่าก็เลย ลาม
-    มะเร็งที่มีการกระจายไปแล้ว ... มะเร็งหลายตัวตอนมาอาจจะเจอก้อนเดียว แต่ว่าจริงๆมันลามไปแล้วเพียงแต่ยังหาไม่เจอ  ... จากประเด็นนี้ทำให้มะเร็.หลายชนิด มีวิธีการรักษาที่นำด้วยการผ่าก่อน จากนั้นสาดเคมีบำบัดไปเลยแม้ว่าจะไม่เจอการกระจาย เช่นในมะเร็งเต้านมที่พบว่าเมื่อผ่านไป5-10ปี พวกที่กระจายไปแล้วเพิ่งจะมาโต
การเลือกวิธีว่าจะรักษาแบบใด มีหลักการที่ชัดเจน มีข้อดีข้อเสียของมัน 
แต่ที่แน่นอนเหมือนกันคือ ถ้าไม่มีดีเลย หมอย่อมไม่เสนอให้คนไข้ ดังนั้นญาติและผู้ป่วยต้องชั่งข้อดีข้อเสีย
การให้เคมี ฉายแสง ผ่าตัด มีผลแทรกซ้อนมากน้อยบ้างตามแต่กรณี ตามแต่ชนิดมะเร็ง ... และข้อที่น่ากลัวที่สุดคือบางครั้งถึงตายได้ แต่ข้อดีก็คือถ้าให้อย่างเหมาะสม หรือให้แล้วไม่มีผลแทรกซ้อน ... ก็มีโอกาสดีขึ้นหรืออยู่ได้นานขึ้น
การไม่รักษาทั้งที่หมอแนะนำให้รักษา ข้อดีคือไม่เจอผลข้างเคียง แต่ข้อเสียคือเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการกำหนดวันไว้เลย เพราะมันก็จะโตไปเรื่อยๆ
ดังนั้น ควรคุยกับหมอ ถามให้ชัด แล้วตัดสินใจดีๆครับ

 

3. เป็นมะเร็งห้ามบำรุง เพราะการบำรุงจะทำให้มะเร็งมีอาหารไปทำให้โต ???
คนไข้ที่เป็นมะเร็งหลายคน บ่นว่ากินไม่ได้ น้ำหนักลดเอาลดเอา พอไปดูเมนูแล้วหมอเองก็ลมแทบจับ เพราะกลายเป็นเมนูผักมังสวิรัติไปเสีย
ความเชื่อเรื่องนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าพื้นฐานมาจากไหน แต่น่าจะเก่ามากและใช้ได้แค่บางกรณีเท่านั้น(หมอOncoท่านใดทราบช่วยเฉลยที)
แต่หลักการตามปกติในปัจจุบัน ไม่ใช่แบบนั้นแน่    ๆ
เรื่องของเรื่องก็คือ เซลล์มะเร็งจะมีการสร้างเส้นเลือดมาดูดสารอาหารรอบตัวมันอย่างมากมาย และการเติมโตก็ใช้พลังงานจากร่างกาย ... ดังนั้นคนที่เป็ฯมะเร็งบางคน แม้กินอาหารได้ก็จะผอมเอาผอมเอา เพราะมะเร็งแย่งไปใช้ และในคนที่โทรมลง ขาดสารอาหาร มะเร็งก็จะโตช้าลงเพราะไม่มีอะไรจะกิน ... พอเรากินอาหารเข้าไปเพิ่ม เริ่มมีแรง มะเร็งก็โตขึ้นต่อ ... ทำให้แต่ก่อนเชื่อกันแบบนั้น
ปัญหาคือเราวางแผนไว้แบบไหนล่ะ
ถ้าเราไม่อยากรักษาอะไรเลย การอดอาหารให้มะเร็งโตช้าก็น่าจะดี
แต่ปัจจุบันการรักษาช่วยยืดอายุได้ ดังนั้นการไปอดอาหารเพื่อยืดอายุก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำอีกต่อไป
เซลล์มะเร็ง ใช้พลังงานมากครับ บางครั้งก้อนโตๆ ใช้พลังงาน50%ของร่างกาย การกินน้อยๆจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เพราะพอพลังงานไม่พอมันก็จะไปแย่งอาหารเซลล์ดีๆ ดีไม่ดีคนไข้จะเสียชีวิตจากขาดอาหารหรืออ่อนแอติดเชื้อได้
นอกจากนี้ การรักษาด้วยเคมีบำบัด ฉายแสง หรือแม้แต่ผ่าตัด ก็ต้องทำในคนไข้ที่มีพลังชีวิตในระดับนึง
หมอก็จะประเมินด้วยคะแนน (บ้างก็ ECOG performance scale บ้างก็ Kanofsky Scale) ถ้าฟิตก็ให้ยาเคมีแรงๆที่มีโอกาสหายมากกว่า ... ถ้าไม่ฟิต ก็ให้ยาเบาๆ หรือไม่ให้ยา
ดังนั้น บำรุงเข้าไปเลยครับ ถ้าไม่มีข้อห้าม ถามหมอที่รักษาแล้วให้อาหารไปเลย
เนื้อสัตว์ กินได้กินไป .... หรือถ้ากลัวเพราะเชื่อว่าเนื้อแดงจะเร่งมะเร็ง ก็เปลี่ยนไปกินไข่ขาวแทน
ข้าว กินได้กินไป ... หรือบางคนที่มีความเชื่อว่าน้ำตาลจะไปเร่งมะเร็ง ก็เปลี่ยนไปกินข้าวกล้อง เพราะสลายให้น้ำตาลช้ากว่าข้าวขาว
ทั้งนี้ ต้องดูโรคร่วมด้วยนะครับ ถ้ามีโรคไต เบาหวาน ... ก็อาจจะต้องงดอาหารบางอย่าง
และที่สำคัญ อย่าไขมันมากไปครับ ... สาเหตุอยู่ข้างล่าง

4. อาหารหรืออะไรที่ห้ามบ้าง  เอาแบบห้ามแน่ๆ

ของที่ทำให้คนเป็นมะเร็งแย่ลงหรืออย่างน้อยไม่ดีขึ้นคือ
แอลกอฮอล์ – ความอ้วน – บุหรี่
คนเป็นมะเร็งไม่ต้องการความอ้วนเท่าไหร่ (หลายงานวิจัยพบว่าความอ้วนทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีด้วยเหตุทางอ้อม หลายอย่าง)... แอลกอฮอล์ก็ไม่ได้ช่วยรักษา ซ้ำจะมีผลข้างเคียงได้อีกหลายอย่าง ... ดังนั้นอย่าไปกินให้เสียเวลา
บุหรี่ ... บุหรี่มีฤทธิ์ทำให้แผลหายช้าจากการไปหดเส้นเลือด ทำให้เวลาได้เคมีบำบัดหรือฉายแสง การฟื้นตัวจะช้า ... นอกจากนี้ยาเคมีบางชนิดจะมีผลข้างเคียงมากขึ้นในคนที่สูบบุหรี่(เช่น Bleomycin ที่การสูบบุหรี่ทำให้เกิดปอดเป็นพังพืดจนอาจเสียชีวิตได้ … ซึ่งคนไข้และญาติบางครั้งมองว่าตายเพราะเคมี ... ทั้งที่จริงๆควรเรียกว่าตายจากบุหรี่)

5. กินผักสิดี ... จริงหรือ?
การกินผักเป็นสิ่งที่ดีครับ ช่วยเรื่องการขับถ่ายได้ แต่ข้อควรระวังก็มี
-    การกินผัก ไม่ได้ทำให้มะเร็งหายได้ ... ดังนั้นไม่ได้จำเป็นต้องไปบังคับกินในกรณีที่กินไม่ได้จริงๆ
-    การกินผักการได้ไฟเบอร์ ไม่ได้ป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ชัดเจน ... จากแต่ก่อนที่เชื่อว่าชัดเจนมากๆ หลังๆก็ชักไม่แน่แล้ว ... ดังนั้นใครหวังกินผักป้องกันมะเร็งลำไส้อาจจะเพลาๆลงได้บ้าง
-    ระวังผักสดให้จงหนัก – หลายคนกินผักปลอดสารพิษ กินผักสด เพราะเชื่อว่าดีกว่าผักทั่วไปหรือผักที่หุงต้ม ประเด็นคือ ผักสดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคสูงโดยเฉพาะโรคทางเดินอาหาร และคนที่เป็นมะเร็งหรือได้ยาเคมีบำบัด บางครั้งมีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ ... การกินผักสดแล้วติดเชื้อ อาจจะอันตรายถึงตายได้
ดังนั้น คนที่เป็นมะเร็ง ควรกินผักตามหลักปกติ นั่นคือ
-    กินผักผลไม้ ประมาณ 50%ของปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ (คนปกติก็ควรทำแบบนี้) การกินน้อยกว่านี้อาจจะมีผลด้านขับถ่ายบ้าง ในขณะที่กินมากกว่านี้ก็อาจจะขาดสารอาหารจากโปรตีนที่จำเป็นไป
-    ผักทุกชนิดที่กิน ต้องทำให้สุก ล้างให้สะอาด เพื่อฆ่าเชื้อโรค
-    ผลไม้ที่จะกิน ควรกินชนิดที่ต้องปอกเปลือก ... ไม่กินพร้อมเปลือก เพราะอาจมีเชื้อโรคได้
นอกจากนี้ ในสาเหตุเดียวกัน คนเป็นมะเร็งต้องงดอาหารที่ไม่สะอาดหรือเสี่ยงไม่สะอาดเด็ดขาด เช่น ของหมักดองที่ไม่ผ่านความร้อน (ไข่ดองน้ำส้มที่ไม่ผ่านการต้มก่อนกินก็ด้วย) อาหารทะเล อาหารค้างมื้อ อาหารที่กินสดหรือใช้มือทำ เช่นส้มตำ

6. ยาสมุนไพรบางตัว ยาพระ ยาโบราณ ใช้รักษาได้
หลายคนเชื่อการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก จากการที่เห็นหลายรายที่ไปรักษาด้วยยาลูกกลอนโบราณแล้วอาการดีขึ้น
ความจริงก็คือ
-    การแพทย์แผนไทย พูดถึงเรื่องมะเร็งไว้ในคนละแบบกับแผนปัจจุบัน มะเร็งในตำราไทยหลายตัวคือแผลเรื้อรัง หลายตัวการแพทย์ไทยไม่ทราบหรือระบุว่ามันคือมะเร็ง
-    การตรวจยาลูกกลอนในไทย มีรายงานการพบการปนเปื้อนสเตียรอยด์(บางอันคงไม่ปน แต่จงใจใส่) 20-90%
-    สเตียรอยด์ ใช้ลดอาการหรือลดขนาดมะเร็งบางชนิดได้ในระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้น การที่ยาแผนโบราณใช้ได้ผล อาจจะต้องระวังเรื่องยาสเตียรอยด์ปนเปื้อนมามากกว่าจะมองว่ามันใช้ได้ผลจริงครับ
นอกจากกรณีนี้ ยังมีอีกประเด็น ในกรณีการให้ยาเคมีบำบัด ทำเพื่อป้องกันการกลับมาของโรค ก็จะให้ทั้งที่ผู้ป่วยไม่มีอาการไปแล้ว ทีนี้พอคนไข้ไม่ได้รักษากับหมอแล้วเห็นว่าไม่เป็นอะไรเลยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นผลจากยาสมุนไพร
ทั้งที่จริงหมอให้ยาเคมีต่อเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต จะขาดยาเฉยๆหรือไปกินสมุนไพร ก็ให้ผลเท่ากัน
มะเร็งที่คนโดนหลอกไปเยอะก็คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งเม็ดเลือดขาวกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครับ

7. ผลไม้มีสารที่ฆ่ามะเร็งได้ ดังนั้นจงกินผลไม้เพื่อรักษามะเร็งให้หายขาดและหยุดยาเคมีบำบัดซะ
ช่วงหลังForward mail หลายชิ้นจะระบุว่า ผัก ผลไม้หลายชนิดมีสารที่ต่อต้านมะเร็งได้ มีงานวิจัยทางห้องทดลองยืนยัน หรือดีกว่าเคมีบำบัดหลายร้อยพันหมื่นเท่า
ปัญหาคือ ผักผลไม้หลายชนิดมีสารพวกนั้น ... แต่มันใช้ได้ผลในหลอดทดลอง ความเข้มข้มก็ไม่เท่ากัน แถมกินไปแล้วจะไปถึงหรือไม่ก็ไม่รู้
(อย่างรากแพงพวยฝรั่ง ... มียาวินคริสตินรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ แต่ถ้าจะให้ได้ขนาดรักษา ต้องใช้รากแพงพวยฝรั่ง 0.5-1 ตัน ... )
ปัญหาอีกอย่างคือ หลายตัวเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ... “อาจ”จะช่วยป้องกันมะเร็ง  แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง
ไม่ว่ามะนาว มะกรูด ทุเรียนเทศ เห็ดญี่ปุ่น ชาเขียว ไลโคปีนมะเขือเทศ น้ำมันมะพร้าว ไฟเบอร์ ก็ไม่ได้มีผลในการรักษาหรือป้องกันมะเร็งแบบเด่นชัดพอที่จะต้องไปหาสารสกัด หรือไปขวนขวายมากินถ้าลำบาก
ถ้าสารพวกนี้ดีจริง ได้ผลจริง บริษัทยาไม่รอหรอกครับ จัดการทำขายกันหมดแล้ว

สรุปอาหารการกินของผู้ที่เป็นมะเร็ง
0. สุกสะอาด คือหัวใจอันดับหนึ่ง
1.กินให้พอครับ อย่าให้โทรม อยากกินอะไรกินเข้าไปยกเว้นของมันๆหรือหวานจัดเพราะอาจจะอ้วนจากไขมัน
2.กินโปรตีนให้มาก
3.งดผักสดผลไม้สดในระยะที่ใช้ยาเคมีบำบัด
4.ในช่วงที่ใช้ยาเคมีบำบัดและเสี่ยงต่อการมีเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรเลี่ยง อาหารทะเล อาหารที่เก็บไว้ข้ามมื้อ อาหารที่ทำสดเช่นส้มตำ ของหมักดองที่ไม่ผ่านความร้อน เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
5. ทั้งนี้อาหารที่ห้ามอื่นๆก็ดูตามโรคร่วมครับ
6. ถามแพทย์ ... เพราะบางอาจจะมีอาหารที่ห้ามจริงๆขึ้นกับโรค (เช่นมะเร็งในระบบทางเดินอาหารที่อาหารควรกินอ่อนๆอะไรแนวนั้น)

4 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. เพิ่มน้ำหนักอยากอ้วน อยากเพิ่มน้ำหนัก กินเท่าไหร่ไม่เคยจะอ้วน ผอมกับเสียเงินกับการกินเป็นอย่างมาก สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ถึง 2-7 กิโลสำหรับคนผอมแห้งอยากบำรุงร่างกาย ด้วยวิตามินอาหารเสิรมเพิ่มน้ำหนัก
    1 ชุดทานได้ (30 วัน) ทั้งหมดราคา 550 + ค่าขนส่ง EMS 50 บาท (รวมยอดชำระเงิน 600.-บาทถ้วน)
    สวัสดีค่ะ ขอโทษที่รบกวนค่ะ ทางH2YOUSHOPขอนำเสนอ
    รายระเอียดเพิ่มเติม>>>>>>>>>>bit.ly/1amCmRg<<<<<<<<<
    ------------------------------------------------------
    #เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
    สั่งซื้อหรือสอบถามเพิมเติม ติดต่อ ☎ H2YOUSHOP
    Call ☎ 084-0411050 (10.00 - 20.00)
    Line ☎ h2you
    Web ☎ www.H2youshop.com
    FB ☎ www.facebook.com/H2YOUSHOPCLUB
    Inbox ☎ www.facebook.com/messages/H2YOUSHOPCLUB
    Email ☎ shoph2@hotmail.com


    ตอบลบ
  3. อธิบายจนทำให้ผมอยากทำคีโมต่อขอบคุณครับผมเป็นมะเร็งท่อน้ำดีให้คีโมมาแล้ว7ครั้งรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก

    ตอบลบ
  4. คนป่วยโรคนี้สามารถกินน้ำมะพร้าวได้มั้ยคะ

    ตอบลบ

pageviews